ศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หรือ ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ได้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา พร้อมกับชัยชนะสุดยิ่งใหญ่ของ อาร์เจนตินา ที่สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่สามได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ได้เติมเต็มความฝันของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดที่ ยอดแข้งวัย 35 ปี มองหามานาน และนี่คือ 5 สุดยอดแมตช์จากศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่หลายคนมองว่าเป็นบอลโลกที่มันส์และยอดเยี่ยมสุดตั้งแต่เคยดูมา (อ้างอิงจาก Sportsmole.co.uk)
5. คอสตาริกา 2-4 เยอรมนี (กลุ่ม อี นัดสุดท้าย)
ก่อนเริ่มเกมทั้งสองทีมต่างมีลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ และสถานการณ์พลิกไปพลิกมา กลับไปกลับมาตลอดทั้งแมตช์ โดย เยอรมนี ขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 10 จาก แซร์ช นาบรี้ แต่พวกเขากลับเอาประตูที่สองไม่ได้ และกลายเป็น คอสตาริกา ที่ได้สองประตูพลิกนำ 2-1 จาก เยลต์ซิน เตเฮดา นาทีที่ 58 และ ฮวน ปาโบล วาร์กาส นาทีที่ 70
อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายเกม "อินทรีเหล็ก" เร่งเครื่องทำสามประตูรวดจาก ไค ฮาแวร์ตซ์ สองตุงในนาทีที่ 73 และ 85 ก่อนที่ นิคลาส ฟุลล์ครุก ยิงปิดท้ายนาทีที่ 89 ซึ่งถึงแม้ เยอรมนี คว้าชัย 4-2 แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะสกอร์อีกสนาม ญี่ปุ่น ดันพลิกชนะ สเปน 2-1 ทำให้ เยอรมนี กับ คอสตาริกา ควงกันตกรอบ ส่วน ญี่ปุ่น กับ สเปน ได้ไปต่อ
4. อาร์เจนตินา 1-2 ซาอุดีอาระเบีย (กลุ่ม ซี นัดแรก)
เต็งแชมป์อย่าง อาร์เจนตินา เปิดหัวศึกฟุตบอลโลก 2022 แบบช็อกโลก ทั้งที่ดูแล้วน่าจะคว้าชัยชนะได้ไม่ยาก เพราะขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 10 จากการสังหารลูกจุดโทษของ ลิโอเนล เมสซี่ และหลังจากนั้นพวกเขามีโอกาสทำประตูเพิ่มอีกเพียบ แต่ไม่สำเร็จ แถมมาเจอทีเด็ดของทีมเศรษฐีน้ำมันที่ได้สองประตูติดๆ พลิกคว้าชัยจาก ซาเลห์ อัล-เชห์รี นาทีที่ 48 และ ซาเลม อัล-ดาวซารี ที่ยิงอย่างสวยในนาทีที่ 53 ซึ่งถึงแม้สุดท้าย ซาอุฯ จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่ม แต่นี่คืออีกหนึ่งเกมแห่งความทรงจำของทัวร์นาเมนต์เลยทีเดียว และคงเป็นเกมที่ ซาอุฯ สามารถคุยโวได้อีกนาน (ชนะทีมแชมป์โลก)
3. แคเมอรูน 3-3 เซอร์เบีย (กลุ่ม จี นัดสอง)
ทั้งสองทีมต่างทำประตูไม่ได้ในเกมแรก (แคเมอรูน แพ้ สวิตเซอร์แลนด์ 0-1 ส่วน เซอร์เบีย แพ้ บราซิล 0-2) แต่กลายเป็นว่าเกมนี้พวกเขากลับลั่นสกอร์กันอย่างเมามันส์ โดย ฌอง-ชาร์ลส์ คาสเตลเล็ตโต ยิงจ่อๆ ให้ แคเมอรูน ขึ้นนำก่อนนาทีที่ 29 ทว่า เซอร์เบีย มาได้สองประตูติดๆ ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรกจาก สตราฮินยา พาฟโลวิช และ เซอร์เก มิลินโควิช-ซาวิช
เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงต้นครึ่งหลังในนาทีที่ 53 อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ยิงง่ายๆ ให้ เซอร์เบีย หนี แคเมอรูน ห่างเป็น 3-1 ซึ่งเกมกำลังอยู่ในการคอนโทรลของพวกเขาอยู่ดีๆ แต่แนวรับดันพลาด เสียสองประตูแบบติดๆ ในรูปแบบคล้ายกัน โดย แว็งซ็องต์ อาบูบาการ์ หลุดเข้าไปยิงแบบสุดเหนือชั้นให้ แคเมอรูน ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 นาทีที่ 63 ก่อนที่ อาบูบาการ์ จะหลุดเช็คล้ำหน้า เข้าไปแอสซิสต์ให้ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง กระทุ้งประตูตีเสมอ 3-3 นาทีที่ 66 แม้หลังจากนั้นไม่มีประตูเพิ่ม แต่ถือเป็นอีกหนึ่งเกมสุดมันส์ประจำทัวร์มาเมนต์เลยทีเดียว และเป็นเกมที่ทำให้ทั้งสองทีมยังมีลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ ณ เวลานั้น
2. เนเธอร์แลนด์ 2-2 อาร์เจนตินา (อาร์เจนฯ ชนะดวลจุดโทษ 4-3, รอบก่อนรองฯ)
เป็นเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ดราม่าสุดๆ โดย ลิโอเนล เมสซี่ แอสซิสต์สุดเหนือชั้นให้ นาอวล โมลีน่า หลุดเข้าไปยิงให้ อาร์เจนตินา ขึ้นนำในนาทีที่ 35 จากนั้นช่วงครึ่งหลังในนาทีที่ 73 เมสซี่ ยิงจุดโทษให้ อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 2-0 ซึ่ง ณ ตอนนั้นทัพ "ฟ้า-ขาว" โอกาสสดใสเหลือเกินที่จะผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก
แต่แล้วนาทีที่ 83 เวาต์ เวกฮอร์ตส์ หัวหอกร่างยักษ์ตัวทีเด็ดจากม้านั่งสำรอง โขกให้ เนเธอร์แลนด์ ตีไข่แตกได้สำเร็จ หลังจากนั้นเกมดำเนินมาถึงช่วงนาทีที่ 90+10 เนเธอร์แลนด์ ได้ฟรีคิกระยะหวังผล ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาลุ้นประตูตีเสมอ และพวกเขาก็ทำได้จริงๆ แถมเป็นประตูสุดฮือฮาที่ทุกคนคาดไม่ถึงด้วย เมื่อ ตูน กอปไมเนอร์ส ที่ทำท่าจะยิงเอง เลือกผ่านบอลสั้นให้ เวกฮอร์ตส์ ที่แฝงตัวอยู่ในกำแพง ซึ่ง เวกฮอร์ตส์ ก็ใช้ความใหญ่บังบอล ก่อนกลับตัวยิงเข้าไป ช่วยให้ เนเธอร์แลนด์ ตีเสมอแบบสุดดราม่า 2-2 พร้อมกับทำให้เกมต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
อย่างไรก็ตาม ไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ต้องไปตัดสินหาผู้ชนะในการดวลจุดโทษ และเป็น อาร์เจนตินา ที่ทำได้ดีกว่า ชนะ 4-3 พร้อมตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกแบบสุดมันส์
1. อาร์เจนตินา 3-3 ฝรั่งเศส (อาร์เจนฯ ชนะดวลจุดโทษ 4-2, รอบชิงฯ)
ฝรั่งเศส แชมป์เก่า มุ่งมั่นอย่างมากที่จะป้องกันตำแหน่งแชมป์ ส่วน อาร์เจนตินา ก็อยากที่จะเป็นแชมป์โลกสมัยสาม หลังจากที่รอคอยมานานถึง 36 ปี และผิดหวังในรอบชิงฯ มาสองหน (ปี 1990 และ 2014) ซึ่งทัพ "ฟ้า-ขาว" ก็ทำได้ดีมากตั้งแต่เริ่มเกม และจบครึ่งแรกด้วยการขึ้นนำ ฝรั่งเศส 2-0 จาก ลิโอเนล เมสซี่ (จุดโทษ) นาทีที่ 23 และ อังเคล ดิ มาเรีย นาทีที่ 36 ส่วนฝั่ง "ตราไก่" มีรูปเกมที่สู้ไม่ได้เลย แถมไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูแม้แต่หนเดียว
ครึ่งหลังยังคงเป็น อาร์เจนตินา ที่เล่นได้ดูดีกว่า จนกระทั่งนาทีที่ 80 ร็องดาล โกโล มูอานี ใช้สปีดและความแข็งแกร่ง เรียกจุดโทษให้ ฝรั่งเศส และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ สังหารเข้าไปไม่พลาด ช่วยให้แชมป์เก่าตีไข่แตกได้สำเร็จ พร้อมกับทำให้บรรดานักเตตะ อาร์เจนตินา เริ่มเสียสมาธิ และหลังจากนั้นแค่นาทีเดียว มาร์กกุส ตูราม แตะบอลให้ เอ็มบัปเป้ ทิ้งตัววอลเลย์เต็มแรง ส่งบอลเข้าประตูไปอย่างสุดสวย ทำให้ ฝรั่งเศส ตีเสมอ 2-2 และจบเกม 90 นาที ด้วยสกอร์ดังกล่าว
ช่วงต่อเวลาพิเศษ ฝรั่งเศส ดูสดกว่าและเล่นได้ดีกว่า แต่กลายเป็น อาร์เจนตินา ที่ขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 108 จาก เมสซี่ เจ้าเก่า ที่ตามซ้ำลูกยิงของ เลาตาโร่ มาร์ตีเนซ เข้าไป ทว่าดราม่ายังมีต่อ เพราะทีม "เลส์ เบลอส์" ตีเสมอเป็น 3-3 ในนาทีที่ 118 จากการยิงจุดโทษของ เอ็มบัปเป้ ซึ่งถือเป็นการทำแฮตทริกสำหรับ ยอดดาวยิงวัย 23 ปี อีกด้วย และในช่วงนาทีสุดท้ายของการทดเจ็บ ฝรั่งเศส มีโอกาสทองที่จะทำประตูส่งพวกเขาป้องกันตำแหน่งแชมป์ เมื่อ โกโล มูอานี ได้หลุดเข้าไปยิง แต่ไม่ผ่านการป้องกันของ เอมิเลียโน่ มาร์ตีเนซ ยอดนายทวารทัพ "ฟ้า-ขาว" ที่ใช้เท้าเซฟเอาไว้ได้ ทำให้ต้องไปตัดสินหาแชมป์ในช่วงดวลจุดโทษ และ อาร์เจนตินา ยังคงทำได้เยี่ยมในด้านนี้ เพราะพวกเขายิงไม่พลาดเลยจาก 4 คน ส่วน ฝรั่งเศส ยิงไม่เข้า 2 ราย (คิงส์เลย์ โกมัน และ โอเรเลียง ชูอาเมนี)
นอกจาก อาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกสมัยที่สามได้อย่างยิ่งใหญ่ และ เมสซี่ ได้ชูโทรฟี่แชมป์ที่เขาคู่ควรได้สำเร็จแล้ว ว่ากันว่านี่คือเกมรอบชิงฯ ฟุตบอลโลก ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล และระทึกขวัญสั่นประสาทที่สุดตั้งแต่เคยมีมาเลยทีเดียว
Subinho