เบื้องหลังนัดชิงประวัติศาสตร์ (เมสซี่มองขึ้นฟ้าหาใคร)

เบื้องหลังนัดชิงประวัติศาสตร์ (เมสซี่มองขึ้นฟ้าหาใคร)
เสียงกรื๊ดจากด้านหลังลอยข้ามมาตลอดในทุกจังหวะที่หวาดเสียว หันไปมองแล้วก็ไม่ได้สวมเสื้อสีฟ้าขาวหรือมีหน้าตากระเดียดไปทางละติน พวกเธอไม่ได้มาคนเดียวด้วย พวกเธอมากันเป็นกลุ่มโดยทั้งหมดแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำชุดลักษณะเดียวกับที่ลิโอเนล เมสซี่ถูกสวมตอนรับถ้วย

"bisht"ผมยื่นโทรศัพท์ให้หนึ่งในนั้นช่วยเขียนให้ทีว่ามันเรียกว่าอะไร

สำหรับชาวอาหรับแล้วถือเป็นชุดที่มีประเพณีสืบทอดมายาวนาน เป็นชุดที่มีเกียรติจะสวมในงานเทศกาลสำคัญ บางทีก็จะให้นักรบผู้กล้าใส่ยามชนะสงคราม ก็แม้แต่คนในราชวงศ์อันสูงศักดิ์ก็ยังมักสวมกันออกงาน

ไม่รู้นะครับ-สำหรับผมไม่คิดว่าจะเสียหายหรือทำให้ราศีของตำแหน่งแชมป์โลกหม่นหมอง อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอกว่าเมสซี่จะต้องแต่งตัวอย่างไรตอนชูถ้วย(ถึงเขาจะถอดเสื้อมารับก็เท่อีกแบบ)

"เมสซี่ เมสซี่ เมสซี่"ดังต่อเนื่องในค่ำคืนที่คงไม่มีใครหรอกลืมได้ลง

ความจริงมันไม่ใช่แค่คืนนี้หรือคืนไหน มันเป็นคำสั้นๆที่หลายคนพร้อมใจตะโกนออกมานานแล้ว ก็แค่มันดังที่สุดและไพเราะจับหัวใจที่สุดก็คืนนี้ในสังเวียนอันโอ่อ่าทางตอนเหนือของโดฮา

ไม่มีใครโต้แย้งได้หรอกว่าอาร์เจนติน่าไม่เหมาะสม...

ทางตรงกันข้ามเลยรอยย่ำของพวกเขาตลอดทัวร์นาเมนต์ก็เป็นรอยเดินเดียวกับเจ้าของแชมป์ในอดีตที่ผ่านมาเพราะแชมป์โลกไม่ได้ต้องการทีมที่เพอร์เฟกต์ อย่างเดียวกันที่ลิโอเนล สกาโลนี่ต้องคอยปรับทีมกับเปลี่ยนแท็กติกตลอด 

ย้อนไปในเกมแรกที่พวกเขาพลิกแพ้ต่อซาอุดิอาระเบีย1-2ก็อาจทำให้บางคนต้องกลืนน้ำลายตัวเองอยู่เลย ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกแมตช์ที่ดูคล้ายว่าจะไม่รอดแต่ก็ผ่านมาได้ อย่างในรอบแปดทีมกับเนเธอร์แลนด์เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ออกนำ2-0มาโดนตี2-2ต้องไปวัดด้วยจุดโทษ

ดังนั้นคนแรกที่ต้องให้เครดิตก็ได้แก่สกาโลนี่ซึ่งก่อนหน้ารับตำแหน่งก็เคยเป็นแค่ผู้ช่วยกับดูแลชุดยู-20มาเท่านั้น หลายคนเลยที่ไปไม่ถึงฝั่งของความฝันเนื่องจากอุปสรรคใหญ่อยู่ตรงหัวใจที่เปราะบางพอเจอแรงกดดัน

อดีตนักเตะเวสต์แฮมผายมือรับทุกปัญหาที่เข้ามา เขาเองเคยออกมากล่าวไว้ว่า"การคุมอาร์เจนติน่าเป็นงานที่มีเกียรติแต่มันคงจะไม่มีค่าอะไรถ้าทำทีมไม่ถึงแชมป์"

เขาไม่ใช่โค้ชที่มีแผนเอแต่มีแผนบี แผนซีไปจนถึงแผนดี ออกสตาร์ทด้วยระบบ4-4-2เกมซาอุฯและเม็กซิโกรอบแบ่งกลุ่ม จากนั้นก็หันมาใช้4-3-3ในวันเจอโปแลนด์ พอเข้ารอบ16ทีมชนออสเตรเลียก็กลับไปเป็น4-4-2อีกครั้ง ตามด้วย5-3-2พอรู้ว่าด่านต่อไปเป็นกังหันสีส้มของหลุยส์ ฟาน กัลโดยยึดหลัก"หนามยอกเอาหนามบ่ง"เข้าลุยกับทีมของจารย์หลุยส์ที่นิยมสูตรหลังสามตัวมาตลอด

เข้าสู่รอบตัดเชือกกับโครเอเชียทางสกาโลนี่ก็รื้อแผนใหม่อีกรอบเป็น4-4-2และนัดชิงกับฝรั่งเศสเลือก4-3-3ลงวัดกับทีมที่มีดีกรีแชมป์เก่า

หากมันก็ไม่ใช่แค่หมากบนกระดานที่หมุนไปเรื่อยจนทำให้ทีมกรุยทางสู่ตำแหน่งแชมป์โลก เจาะลึกลงไปถึงรายละเอียดก็ยังพบว่ามีการใช้กลุ่มนักเตะที่ทีแรกเป็นแค่สำรองขึ้นมาเป็นตัวจริงและต่อมาก็เป็นฟันเฟืองตัวสำคัญ

อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ไม่ได้เป็นสิบเอ็ดตัวแรกเกมซาอุฯทว่าอีก 6 เกมหลังจากนั้นกลายเป็นขุนพลที่ทีมขาดไม่ได้โดยเฉพาะในนัดชิงที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม

อีกตำแหน่งก็มิดฟิลด์ตัวรับจากที่เลอันโดร ปาเรเดสหรือว่ากุยโด้ โรดริเกวซได้รับความไว้ใจจากสกาโลนี่ก็เป็นเอ็นโซ่ เฟอร์นานเดซ ห้องเครื่องวัย21ที่พอได้โอกาสก็ฉวยได้ รางวัลดาวรุ่งประจำทัวร์นาเมนต์การันตีคุณภาพ

คนสุดท้ายที่ต้องเอ่ยก็ต้องเป็นฆูเลี่ยน อัลบาเรซ ผู้ที่บินมากาตาร์ในบทบาทตัวสำรอง ครั้นพอได้ลงก็เป็นตัวรุกทางด้านซ้ายเกมโปแลนด์ก่อนที่จะขยับมาเป็นกองหน้าตัวเป้า ผลงาน4ประตูกับความขยันที่วิ่งไล่เพรสในแดนหน้าไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อยทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของสาวกฟ้าขาวอย่างรวดเร็ว     ไหนจะไพ่ลับเมื่อวันอาทิตย์อย่างอังเคล ดิ มาเรียอีกซึ่งได้ออกสตาร์อย่างเซอร์ไพร์สไม่พอ ยังถูกจับให้อยู่ฝั่งซ้ายด้วย วิเคราะห์ตามหลักการแล้วก็ควรประจำกราบขวาเหมือนเดิมมากกว่า อย่างน้อยเอาไว้คอยช่วยเกมรับยามที่คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ได้บอลแต่สกาโลนี่มองข้ามช็อตไปเลย

เขายึดถือปรัชญาที่ว่า"เพราะเกมรับดีสุดก็คือเกมรุก"

ดิ มาเรียไปอยู่ทางซ้ายเพื่อคอยคุกคามฌูลส์ กุนเด้ซึ่งมีจุดอ่อนตรงความเร็ว ก็สองลูกแรกที่อาร์เจนติน่าทำได้ก็มาจากหมากเด็ดนี้ของสกาโลนี่

คำถามที่เคยติดบนริมฝีปากมานาน"เมสซี่จำเป็นต้องได้แชมป์โลกไหมเพื่อเป็นสุดยอดนักเตะตลอดกาล?"

อย่างเดียวกันเหมือนเราฟังเพลงใครสักวงหรือสักคน เราชอบเขา เราศรัทธาเขา เราเอาเนื้อหาของเพลงนั้นมาก่อร่างสร้างแรงบันดาลใจ 

ก็จำเป็นด้วยหรือที่วงนั้นหรือนักร้องคนนั้นต้องได้รางวัล??

หากเมสซี่เก็บเอาเสียงรอบข้างมาคิดตลอด เขานับถือดีเอโก้ มาราโดน่าแต่ก็คิดไปเองว่าคงก้าวข้ามผ่านเส้นบางๆนี้ไม่ได้ตราบใดทำไม่ได้เหมือนรุ่นพี่

นั่นเองในทุกเกมจึงสัมผัสได้ถึงปรารถนาอันแรงกล้าจากชายผู้ที่ประกาศว่า"This is my last world cup"หลังพาทีมเข้าชิง ก็ธรรมดาที่จะพบว่าบางทีเขาจะดูคล้ายเดินลอยชายในสนามแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่มีการซักซ้อมและพูดคุยในทีมมาก่อนแล้วว่าทุกคนต้องเล่นให้เขา 

ถามว่าจะในฐานะเพื่อนร่วมทีมหรือเพื่อนร่วมสายเลือด มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นขุนพลร่วมออกรบกับแม่ทัพอย่างเมสซี่?

อย่าลืมครับประโยคอมตะของจอห์น เลนน่อน...

"ความฝันที่ฝันโดยลำพังก็เป็นแค่ฝัน ความฝันที่จะเป็นจริงคือการฝันร่วมกันต่างหาก"

เมสซี่ก็เป็นคน ก็เหมือนผม เหมือนพวกคุณ กว่าจะได้ชูถ้วยก็เจ็บปวดมาเยอะ เข้าแข่งหรือชิงกี่รายการก็อกหัก มีเพิ่งมาสมหวังก็ปีที่แล้วในโกปา อเมริกา

มันจึงมีท่อนหนึ่งตอนท้ายของเพลงฮิตในบอลโลกหนนี้ของพวกสาวกฟ้าขาวซึ่งแปลได้ว่า"พวกคุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าผมร้องไห้หนักแค่ไหนตอนที่เราแพ้ในนัดชิง"     

นับจากนาที80เป็นต้นไปถึงน้ำตายังไม่ไหลแต่อกข้างซ้ายก็ย่อมสั่นแรง ในเกมที่ควรปิดได้ไม่ยากก็กลายว่าต้องยืดเยื้อกับเพียงสองจังหวะที่สมาธิของนักเตะบางคนหลุดไป

ภาพตอนนั้นก็พบเมสซี่เอามือยืนเท้าเอวแถวครึ่งวงกลมกลางสนาม เขาย่อมไม่อยากเชื่อ เขาย่อมไม่อยากจินตนาการตอนต่อๆไปที่กำลังเกิดขึ้น

ตามตรงผมเองก็เห็นเงาตะครุ่มของเอ็มบั๊ปเป้ลอยมาแล้ว ลอยมาอยู่เหนือเทพเจ้าของชาวอาร์เจนไตน์ทุกชีวิต ก็ฟุตบอลมักทำให้เราคาดไม่ถึงเสมอ ก็เจ้าลูกกลมๆไม่เคยออกแบบได้อีกด้วย

"เมสซี่หมดแรงแล้ว นี่คือปัญหาของอาร์เจนติน่า"นักข่าวชาวเปรูที่นั่งอยู่ห่างถัดไปหล่นความเห็นตอนที่เกมเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ

ครับ นักเตะที่อายุ35แล้วจะไปวัดกับคลื่นลูกใหม่ที่เพิ่ง23ได้อย่างไรในแง่พละกำลัง

โมเมนต์ของเอ็มบั๊ปเป้จึงมาแล้ว โมเมนตัมก็เหวี่ยงมาหาทางฝรั่งเศสแต่เมสซี่เองก็ทำในสิ่งที่อาจไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน เขาคงพยายามวิ่งและวิ่ง มีบางจังหวะด้วยที่พอเสียบอลก็ทุ่มสุดตัวเหมือนแท็กเกิ้ลในรักบี้ไปตัดฟาวล์นักเตะตราไก่

แต่แล้ว..สกอร์บอร์ดขยับมาถึงนาที108ของเกม

นี่มันต้องเป็นฉากจบที่มีคนเขียนไว้ล่วงหน้าแน่นอน ก็อาร์เจนติน่าแซงนำอีกครั้ง3-2โดยก็จากใครคนอื่นไม่ได้ ต้องเป็นเขาผู้สวมปลอกแขนแถมมาจากปลายสตั๊ดข้างขวาที่ไม่ถนัดอีกต่างหาก

ปี1986เคยมีHand of God

ปี2022ก็กำลังมีHero of God

บรรยากาศตอนนั้นก็สุดเหวี่ยง สังเกตได้เลยว่าหลายคนแสดงความมั่นใจแล้วว่าหนนี้ไม่น่าผิดพลาดแล้วต้องรู้เรื่องใน120นาที 

แต่แล้ว...เอ็มบั๊ปเป้อีกแล้วที่ทำทุกอย่างเพื่อต่อลมหายใจให้ทีม เป็นแฮตทริกครั้งแรกในนัดชิงบอลโลกนับแต่ปี1966

พลันที่ผู้ตัดสินชาวโปแลนด์พ่นลมยาวก็ทำให้เสียงในสนามเงียบลงชัดเจน ตอนนั้นมันเป็นวินาทีสุดระทึกกับเกมที่ถ้วยควรเป็นของอาร์เจนติน่าไปเรียบร้อย 

อาการกัดเล็บ อาการกุมหัว อาการกระโดดตัวลอย อาการโผเข้ากอดกับคนที่รัก อาการเหมือนเด็กขี้แยและอีกหลายอาการเท่าที่มนุษย์สักคนจะแสดงออกได้มีปรากฎให้เห็นทั้งหมด

อาร์เจนติน่าทำได้ อาร์เจนติน่าเป็นแชมป์โลกสมัยสามหลังรอมานาน36ปี อาร์เจนติน่าไม่ต้องร้องไห้ในเกมชิงอีกแล้วหรือถ้าร้องน้ำตาก็ออกมาเพราะดีใจ ไม่ใช่เสียใจ

ในนาทีเดียวกันนั้นเองก็พบว่าใครสักคนได้คุกเข่าลงไปบนพื้น สองตาแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า เขาคงกำลังอยากขอบคุณใครสักคนข้างบน เขาเองก็อาจอยากขอบคุณความเจ็บปวดที่เคยผ่านเข้ามาและแน่นอนเขาเองคงอยากอยู่กับความฝันนี้ให้นานที่สุด

(เช่นเดียวกับใครอีกคนที่อยู่บนอัฒจันทร์)

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport