แล้วแชมป์เก่าอย่าง ฝรั่งเศส ก็มาตามนัด ด้วยการผ่านเข้าไปป้องกันตำแหน่งของตัวเองในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 หลังกระทืบความฝันของ โมร็อคโก จนแหลกสลาย
และนี่คือสิ่งที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผมอยากจะบอก
1. ดิดิเย่ร์ เดชองส์ จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้เล่นจากเกมที่ถีบ อังกฤษ ตกรอบ 2 ตำแหน่ง เมื่อเซ็นเตอร์แบ็คกับมิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กับ อาเดรียง ราบิโอต์ มีอาการป่วย
อิบราฮิมา โกนาเต้ กับ ยูสซุฟ โฟฟาน่า จึงได้ลงตัวจริงแทน นอกนั้นเหมือนเดิมหมด
ขณะที่ โมร็อคโก ก็มีปัญหาผู้เล่นสำคัญบาดเจ็บ ว่าแล้วปรับมาเล่นในระบบ 'หลังสาม' เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน
เมื่อเดินทางมาถึงรอบตัดเชือก คาดว่าทั้ง 2 ทีมคงเล่นอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
2. ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจดๆ จ้องๆ พลางดูเชิงกันอยู่
ทันใด...!!!
ทีมชาติตราไก่ชิงจังหวะขึ้นนำ 1-0 อย่างรวดเร็วเพียงแค่ 5 นาที...ซะอย่างนั้น
นี่คือความเขี้ยวยาวลากดินบวกเหลี่ยมเล่ห์ของ ฝรั้งเศส
คือจังหวะนั้น พวกเขากำลังเซ็ตบอลกันอย่างช้าๆ ไม่ผลีผลาม ขณะที่ อ็องตวน กรีซมันน์ แอบไปอยู่หลังไลน์ โดยที่กองหลังของ โมร็อคโก คนหนึ่งไม่ทันระวัง
พลันที่เห็นช่องว่างจึงแทงลูกขึ้นไปตรงๆ ในจังหวะเดียวกับที่กองหลังของ โมร็อคโก ชิงจังหวะสกัดผิดพลาดจนหลุดทะลุไปถึง อ็องตวน กรีซมันน์ แบบง่ายๆ
และหลังจากนั้นก็เป็นประตู
ฝรั่งเศส ขึ้นนำเร็วกว่าที่คาด ขณะที่ทีมจากแอฟริกาเหนือก็เสียประตูง่ายไปหน่อย
นอกจากกองหลังจะพลาด จังหวะที่ เตโอ แอร์กน็องเดซ ตวัดยิงเข้าไป แทนที่นายทวารของ โมร็อคโก อย่าง โบโน่ จะรีบพุ่งเข้าไปบีบ เขาดันชะงัก และตัดสินใจยืนอยู่กับที่ซะอย่างนั้น
3. การตามหลังอย่างรวดเร็วแบบนี้ เสมอหนึ่ง 'แผนแตก' นะครับ
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม โมร็อคโก ถึงพยายามเร่งเกมรุกมากขึ้น
นอกจากนี้การเล่นต่อไม่ไหวของกองหลังอย่าง โรแมง ซาอิส ทำให้พวกเขาต้องปรับระบบจาก 5-4-1 มาเป็น 4-3-3 โดยปริยาย ซึ่งเหมือนจะกลายเป็นดีซะด้วย
ผู้เล่นในชุดแดงตัดเขียวจ่ายบอลกันแม่นยำพลางสอดประสานกันได้แจ๋วเลยนะครับ - ขอโทษ พวกเขาจึงครองบอลบุกใส่ทีมใหญ่กว่าอย่าง ฝรั่งเศส ได้เป็นระยะ
โมร็อคโก บุกเข้ามาถึงพื้นที่สุดท้ายได้บ่อยครั้ง ปัญหาคือหาจังหวะจบแบบจั๋งๆ แทบไม่เจอ เพราะพอถึงจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม ถ้าไม่ถูกสกัดแบบหวุดหวิดเสียก่อนก็จะยิงไปติดผู้เล่นของ เลส เบลอส์ ที่ลงไปปิดพื้นที่ในกรอบเขตโทษกันเต็มไปหมด
ฝรั่งเศส เล่นเกมรับกันได้เหนียวแน่นเป็นพิเศษ เฉพาะอย่างยิ่งคู่เซ็นเตอร์แบ็คอย่าง อีบู โกนาเต้ กับ ราฟาแอล วาราน ที่ไม่แสดงความผิดพลาดออกมาเลย
4.ฝรั่งเศส เล่นแบบเน้นผลการแข่งขันชัดเจน
พวกเขาไม่สนด้วยว่าชื่อชั้นและคุณภาพของตัวเองจะเหนือกว่า หรือเป็นต่อคู่แข่ง หลังจากขึ้นนำ 1-0 ก็เล่นแบบ 'รักษาสกอร์' มากกว่า 'เอาประตูเพิ่ม'
นี่คือความโรคจิตของแชมป์เก่าครับ
เมื่อ โมร็อคโก บุกจนแทบจะท้อแล้วยังตีเสมอไม่ได้ก็ถูกลงโทษจากจังหวะโต้กลับตามสูตร
ทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดมากกว่าเหมือนเกมที่มีชัยเหนือ อังกฤษ ในรอบ 8 ทีมนั่นแหละ เพราะตลอดทั้งเกม พวกเขายิงตรงกรอบแค่ 3 ครั้ง แล้วเปลี่ยนเป็น 2 ประตู - คิดเอา
มิเท่านั้นยังมีตัวทีเด็ดอย่าง คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ หรือ อ็องตวน กรีซมันน์ ที่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากกว่าคู่แข่งที่วรรณะต่ำกว่า
อย่างน้อยดาวเตะวัย 23 เจ้าของสมญา 'ท่านประธาน' ก็ใช้ความเร็วกว่านรก รวมถึงความคล่องแคล่วเล่นงานคู่แข่งเพียงลำพังได้จนมีส่วนกับทั้ง 2 ประตู
กรีซมันน์ กรีซมันน์ ก็ขยันทุ่มเท นอกจากสร้างสรรค์เกมรุกยังอุตส่าห์ลงมาช่วยเกมรับพลางเคลียร์จังหวะสำคัญๆ ได้หลายครั้ง ว่าแล้วยกตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าประจำแมตช์ให้เลย
5. สุดท้ายแล้ว 'ฟุตบอลโลก' ก็ยังไม่ยอมอนุญาตให้ทีมประเภท 'ม้ามืด' หรือ 'นอกสายตา' แสดงความอหังการออกมามากเกินไปถึงขั้นคว้าแชมป์นะครับ
ทีมที่สั่งสมบารมีไม่บรมพอ ทีมที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้ และทีมที่มีประวัติศาสตร์ลูกหนังน้อยเกินไปมักจะมาไกลที่สุดเพียงรอบตัดเชือกเท่านั้น
หรือหากเล็ดรอดเข้าไปถึงรอบชิงฯ ก็จะเป็นผู้แพ้
สำหรับคู่ชิงชนะเลิศใน เวิลด์ คัพ ฉบับอาหรับราตรีครั้งนี้ถือว่าสมศักดิ์ศรียิ่งนัก
เมื่อทีมหนึ่งคือ 'ทีมเมสซี่' และอีกทีมหนึ่งคือ 'แชมป์เก่า' โดยต่างฝ่ายต่างคว้าแชมป์โลกมาแล้วทีมละ 2 สมัย
บอ.บู๋