แชมป์โลกโชว์เกมรับ,ตราไก่ปราบพยศม้ามืด - 5 ข้อ ฝรั่งเศส โค่น โมร็อกโก ชิงดำ อาร์เจนฯ

แชมป์โลกโชว์เกมรับ,ตราไก่ปราบพยศม้ามืด - 5 ข้อ ฝรั่งเศส โค่น โมร็อกโก ชิงดำ อาร์เจนฯ
สุดท้ายก็มาตามนัดสำหรับ ฝรั่งเศส ซึ่งทะยานเข้าไปป้องกัน แชมป์โลก กับ อาร์เจนติน่า ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังเอาชนะทีมจอมพลิกล็อคอย่าง โมร็อกโก ได้แบบน้ำลายเหนียว 2-0 ในการฟาดแข้ง ฟุตบอลโลก 2022 รอบรองชนะเลิศคู่ที่สองเมื่อวันพุธที่ 14 ธ.ค.

แม้ลงเอยแล้ว สิงโตแห่งแอตลาส จะไม่สามารถคว่ำแชมป์เก่าลงได้ แต่พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเล่นได้อย่างแข็งแกร่งเกินความคาดหมายจนทำเอาพลพรรค เลส์ เบลอส์ ลิ้นห้อยไปตามๆกันก่อนจะซัดเม็ดปิดกล่องได้สำเร็จ

1.แชม์เก่าวุ่นไร้สองคีย์แมน

เป็นอันว่า ฝรั่งเศส จำเป็นต้องปรับทีมสองตำแหน่งจากเกมชนะ อังกฤษ 2-1 ในรอบแปดทีมสุดท้ายเนื่องจาก ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กับ อาเดรียง ราบิโอต์ มีอาการป่วย

ในรายของ อูปาเมกาโน่ ถูกแทนที่โดย อิบราฮิม่า โกนาเต้ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีม ลิเวอร์พูล ขณะที่ ยุสซุฟ โฟฟาน่า มิดฟิลด์ทีม โมนาโก ถูกเลือกให้ลงบู๊ในแดนกลางแทน ราบิโอต์

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า อูปาเมกาโน่ ยังมีชื่อนั่งข้างสนามได้ แต่ดาวเตะทีม ยูเวนตุส หมดสิทธิ์มีส่วนร่วมในเกมนี้เนื่องจากไม่ปรากฏชื่อในโผตัวสำรอง

2.โยริส เทียบชั้น นอยเออร์

ถึงขณะนี้ อูโก้ โยริส ผู้รักษาประตูทีมชาติ ฝรั่งเศส ขยับขึ้นมาทาบชั้น มานูเอล นอยเออร์ นายทวารทีมชาติ เยอรมัน แล้วกับการลงสนามในเกม ฟุตบอลโลก มากที่สุดเป็นนัดที่ 19 เท่ากัน

19 นัด : อูโก้ โยริส , มานูเอล นอยเออร์

18 นัด : เคลาดิโอ ทัฟฟาเรล, เซ็ปป์ ไมเออร์

อย่างไรก็ดี มีนักเตะที่ไม่ใช่นายทวารมากถึง 13 รายที่ลงเล่น ฟุตบอลโลก มากกว่าทั้ง นอยเออร์ และ โยริส

และที่แน่ๆ ลิโอเนล เมสซี่ กับ โลธาร์ มัทเธอุส ผงาดเป็นนักเตะที่ลงเล่นเกม ฟุตบอลโลก เท่ากันแล้วที่ 25 นัด



3.ม้ามืดสุดคึกได้สองหลังคืนฟิต

สำหรับ โมร็อกโก สามารถจัดทัพได้แบบสวนทางกับทีมเมืองน้ำหอมเนื่องจากกุนซือ วาลิด เรกรากุย ได้สองกองหลังฟิตกลับมาลงสนามด้วยกันทั้งคู่

ในเกมพิชิต โปรตุเกส 1-0 รอบแปดทีมที่ผ่านมา นุสแซร์ มาซราอุย  ฟูลแบ็คทีม บาเยิร์น มิวนิค กับ นาเยฟ อาเกิร์ด กองหลังทีม เวสต์แฮม มีปัญหาบาดเจ็บ ลงเล่นไม่ได้ แต่เกมนี้ทั้งคู่เรียกความฟิตได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ สองดาวเตะที่หนีไม่พ้นต้องหล่นไปนั่งข้างสนามตามเดิมจึงได้แก่ ยาย่า อัตติยัต อัลลาห์ กับ ซาลิม อมัลลาห์

ขณะเดียวกัน โมร็อกโก จะลงเล่นในระบบหลังห้าอย่างแน่นอนเนื่องจาก จาวัด เอล ยามิก ปราการหลังทีม วายาโดลิด ยังมีชื่อลงสนามเป็น 11 คนแรก

อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วทีมม้ามืดหนีไม่พ้นต้องเปลี่ยนรายชื่อนักเตะในนาทีสุดท้ายเนื่องจาก อาเกิร์ด ไม่สมบูรณ์มากพอในช่วงวอร์มอัพก่อนเกม และทำให้ อาชราฟ ดารี ได้เสียบแทน

4.เสียประตูเร็วแผนแตก

ในฐานะทีมรองบ่อนที่อาศัยเกมรับอันแข็งแกร่งพาตัวเองหลุดมาถึงรอบนี้ได้ โมร็อกโก จึงได้รับการคาดหมายว่าจะเน้นเล่นเกมรับตามถนัด และรอจังหวะที่ ฝรั่งเศส บุกขึ้นมาหลวมหาโอกาสโต้กลับฉับพลัน

แต่ที่ไหนได้ เริ่มเกมขึ้นมา ทีมจาก แอฟริกา เป็นฝ่ายบุกเข้าหาแชมป์เก่าอย่างเมามันประดุจมั่นใจกันเต็มเปี่ยม และครองบอลได้เหนือกว่าอย่างชัดเจนซะด้วย

อย่างไรก็ดี ตำแหน่ง แชมป์โลก ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย และเมื่อโอกาสสำคัญมาถึง ทีมตราไก่ก็ชิงสอยตาข่ายนำหน้าไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 จากการยิงที่เหนือชั้นของ เตโอ แอร์กน็องเดซ ซึ่งชัดเจนว่าเข้าทางทีมเมืองน้ำหอม และทำให้แผนของ โมร็อกโก ที่ต้องการนำหน้าก่อนเพื่อเน้นเกมรับรักษาสกอร์เอาไว้เสียหายไปหมด

เท่านั้นไม่พอ ผ่านมานาทีที่ 21 โรแม็ง ซาอิสส์ ยังต้องเปลี่ยนตัวออกให้ ซาลิม อมัลลาห์ ดาวเตะทีม สตองดาร์ ลีแอช ลงไปรับช่วงแทนด้วยเนื่องจากฟิตไม่ถึงซึ่งถือเป็นหายนะยกกำลังสองของ โมร็อกโก อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดีที่ว่าพวกเขารอดพ้นจากการโดนคลำเป้าเพิ่มหลายครั้ง โดยเฉพาะโอกาสของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม เลส์ เบลอส์

กระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งแรก โมร็อกโก บุกได้อย่างน่ากลัว และทำให้ โยริส ต้องทำงานหนักขึ้นแม้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะทวงสกอร์คืนไม่ได้ แต่ยังครองบอลเหนือว่าในอัตรา 56:44% ทว่า ฝรั่งเศส ไม่สนใจประเด็นนี้อยู่แล้ว และหาทางโต้ขึ้นไปลุ้นทำประตูได้มากกว่า 9:5 ครั้งโดยเป็นการซัดบอลเข้ากรอบได้ 2 ครั้งเท่ากัน

สำหรับประตูของ แอร์กน็องเดซ ทำให้เขาเป็นกองหลังคนที่สามของทีมเมืองน้ำหอมที่ทั้งยิงประตู และแอสซิสต์ได้ในเกม ฟุตบอลโลก ทัวร์นาเมนต์เดียวกัน ต่อจาก มาริอุส เทรซอร์ ในปี 1982 และ บิเซนเต้ ลิซาราซู ในปี 1998

ยิ่งไปกว่านั้น ประตูของเขา (4นาที39วินาที) ยังเกิดขึ้นเร็วที่สุดในรอบตัดเชือก ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1958 ที่ วาว่า (นาทีที่2) ยิงให้ บราซิล ได้ในเกมบู๊กับ ฝรั่งเศส (รอบแปดทีม บราซิล ชนะ 5-2)

5.ตราไก่เอาอยู่

ตลอดครึ่งหลัง โมร็อกโก ยังเล่นเกมรุกได้อย่างอันตราย และมีจังหวะทำเสียวชนิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ปรากฏว่าทีม เลส์ เบลอส์ เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น และเก็บคลีนชีตแรกในทัวร์นาเมนต์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ซ้ำร้าย ทีมจาก แอฟริกา ยังเจองานหนักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกต่างหากเมื่อจู่ๆ รันเดล โคโล่ มูอานี่ กองหน้าตัวสำรองที่เพิ่งลงสนามมาแหม็บๆก็สบโอกาสเก็บตกซัดเม็ดสองให้ทีมเมืองน้ำหอมได้อุ่นใจมากขึ้นในนาทีที่ 79  พร้อมแจ้งเกิดไปในตัวกับการรับใช้ชาติเป็นนัดที่สี่ของดาวยิงทีม ไอนทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต วัย 24 ปีรายนี้ที่เพิ่งประเดิมติดธงเกมแรกเมื่อเดือนก.ย.นี่เอง

และไม่แปลกอะไรที่ประตูของเขาเกิดขึ้นเร็วที่สุดเป็นอันดับสองของเกม ฟุตบอลโลก รอบน็อคเอาต์สำหรับนักเตะตัวสำรอง (44วินาที) เป็นรองแค่ เอ็บเบ้ ซานด์ อดีตกองหน้าทีมชาติ เดนมาร์ค ซึ่งสอยตาข่าย ไนจีเรีย ได้เมื่อปี 1998 หลังถูกส่งลงบู๊ได้แค่ 26 วินาทีเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศส พิสูจน์ให้เห็นว่าหากพวกเขามีสกอร์นำในช่วง 45 นาทีแรกของเกม ฟุตบอลโลก พวกเขาไม่เคยเดินออกจากสนามในฐานะผู้แพ้เลย (ชนะ 26 นัด เสมอ 1 นัด) แม้จบเกม 90 นาทีจะครองบอลเป็นรอง โมร็อกโก 61:39% แต่พลิกมามีโอกาสยิงประตูมากกว่า 14:13 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบมากกว่า 3:2 ครั้ง

สำหรับ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ได้ชื่อว่าเป็นกุนซือรายที่หกที่คุมทีมเข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่มีแค่คนเดียวที่ประสบความสำเร็จครบทั้งสองครั้งคือ วิตตอริโอ ปอซโซ๋ ซึ่งพา อิตาลี ซิวแชมป์ได้ในปี 1934 และ 1938

แต่ถึงอย่างนั้น เดส์ช็องส์ มีส่วนร่วมกับ ฟุตบอลโลก นัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่สามแล้วเนื่องจากสมัยเป็นนักเตะ เขาได้สัมผัสกับตำแหน่ง แชมป์โลก ปี 1998 ซึ่งหมายความว่า ฝรั่งเศส ไม่เคยได้โทรฟี่ใบนี้เลยหากชายผู้นี้ไม่มีเอี่ยวด้วย


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport