ในที่สุดศึกฟุตบอลโลก 2022 ก็ได้คู่ชิงชนะเลิศเรียบร้อย ซึ่งเป็นการเจอกันระหว่าง อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส ที่เป็นแชมป์เก่า โดยเกมรอบชิงฯ จะมีขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคมนี้ (เวลา 22.00 น.) ทั้งสองทีมต่างมีดีกรีแชมป์โลก 2 สมัยเหมือนกัน แต่ ฝรั่งเศส มาในฐานะแชมป์จากครั้งก่อน (ปี 2018) ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขามุ่งมั่นเหลือเกินที่จะกลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ บราซิล ในปี 1962 ที่สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์ได้ ส่วนฝั่ง อาร์เจนตินา ที่ไม่ได้แชมป์มาตั้งแต่ปี 1986 แถมผิดหวังในรอบชิงฯ สองครั้งหลังสุด (ปี 1990 และ 2014) ก็ตั้งใจมากๆ ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ ลิโอเนล เมสซี่ ที่หวังได้ชูถ้วยแชมป์โลก เป็นการส่งท้ายเวที ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ และนี่คือเส้นทางของคู่ชิงฯ บอลโลกหนนี้
- อาร์เจนตินา
ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ทีมของกุนซือ ลิโอเนล สกาโลนี่ ถูกมองเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ ทว่าพวกเขากลับออกสตาร์ทแบบสุดช็อก ด้วยการพลิกล็อกพ่ายต่อ ซาอุดีอาระเบีย 1-2 อย่างไรก็ตาม ทัพ "ฟ้า-ขาว" รวบรวมสมาธิกลับมาได้ และคว้าชัยสวยๆ สองนัดติดในรอบแบ่งกลุ่ม จากนั้นพอถึงรอบน็อกเอาต์ อาร์เจนตินา ก็สามารถฝ่าด่าน ออสเตรเลีย, เนเธอร์แลนด์ และ โครเอเชีย มาได้ โดยเฉพาะเกมรอบตัดเชือก ที่ไล่ต้อนทีม "ตาหมากรุก" รองแชมป์เก่า 3-0 ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงสำหรับทัพ "ฟ้า-ขาว" เลยทีเดียว
สรุปเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ
รอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม ซี) : แพ้ ซาอุดีอาระเบีย 1-2, ชนะ เม็กซิโก 2-0, ชนะ โปแลนด์ 2-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ ออสเตรเลีย 2-1
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะดวลจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-3 (เสมอ 2-2 ใน 120 นาที)
รอบรองชนะเลิศ : ชนะ โครเอเชีย 3-0
ดาวเด่น : ลิโอเนล เมสซี่
แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากสำหรับ เมสซี่ เพราะผลงานทำ 5 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ ช่วยการันตีความยอดเยี่ยมและความสำคัญของ ดาวเตะจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง วัย 35 ปี ได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่า นี่คือฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขาแล้วด้วย ดังนั้น เมสซี่ จึงมุ่งมั่นอย่างมากที่จะทำความฝันหนึ่งเดียวที่ยังไปไม่ถึง ให้กลายเป็นความจริง
- ฝรั่งเศส
ทีมแชมป์เก่า ที่ไม่มีสตาร์ดังอย่าง คาริม เบนเซม่า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ ปอล ป็อกบา ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างไม่ยากลำบาก โดยพวกเขาการันตีเข้ารอบเป็นทีมแรกของทัวร์นาเมนต์ หลังคว้าชัยรวดในสองนัดแรก ส่วนรอบน็อกเอาต์ ทัพ "ตราไก่" ของกุนซือ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็สามารถโค่นคู่แข่งหินๆ อย่าง โปแลนด์, อังกฤษ รวมถึงม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์อย่าง โมร็อกโก ได้ ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมทีเดียว พร้อมกับผลงานอันโดดเด่นของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ อ็องตวน กรีซมันน์
สรุปเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ
รอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม ดี) : ชนะ ออสเตรเลีย 4-1, ชนะ เดนมาร์ก 2-1, แพ้ ตูนิเซีย 0-1
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ โปแลนด์ 3-1
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ อังกฤษ 2-1
รอบรองชนะเลิศ : ชนะ โมร็อกโก 2-0
ดาวเด่น : คีลิยัน เอ็มบัปเป้
ถึงแม้ไร้สกอร์และแอสซิสต์ในสองนัดหลัง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เอ็มบัปเป้ คือผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มเด่นสุดของทีมในทัวร์นาเมนต์นี้ จากผลงานกระทุ้ง 5 ประตู พร้อมกับทำ 2 แอสซิสต์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดาวยิงจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง วัย 23 ปี คือความหวังสูงสุดของ ฝรั่งเศส สำหรับการล่าประตูในเกมรอบชิงฯ ที่สังเวียนแข้ง ลูเซล สเตเดี้ยม วันอาทิตย์นี้
Subinho