ก่อนหน้านี้เคยมี 4 ชาติที่แพ้ในเกมแรกแต่สุดท้ายได้ผ่านเข้าชิงซึ่งประกอบด้วยเยอรมันตะวันตก1982, อาร์เจนติน่า 1990, อิตาลี 1994และสเปน2010
นี่เป็นบางชิ้นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าบอลทัวร์นาเมนต์นั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปเพียงผ่านไปเกมเดียว อย่างเดียวกันว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทีมแชมเปี้ยนนั้นก็มักมีผลงานกระท่อนกระแท่น หาได้น้อยพวกประเภทควบม้าขาวหล่อมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เบื้องหลังของทีมฟ้าขาวชุดนี้ก็คล้ายคลึงกัน เริ่มต้นอย่างน่าอายด้วยการแพ้ให้ชาติจากเอเชีย-ซาอุดิอาระเบีย1-2โดยตอนนั้นมีแต่ถ้อยคำเย้ยหยันพุ่งไปหา หลายคนก็ปักใจเชื่อไปก่อนแล้วว่าอาร์เจนติน่าชุดนี้น่าจะจอดแค่รอบแบ่งกลุ่ม
จุดเปลี่ยนอยู่ตรงลิโอเนล สกาโลนี่รู้ว่าข้อผิดพลาดอยู่ตรงไหนและก็รีบปรับ เขาไม่ใช่โค้ชที่ยึดติดกับอีโก้ตัวเอง ตรงกันข้ามเขามักเลือกแท็กติกให้สอดคล้องกับคู่แข่งด้วยว่าควรจะใช้แผนไหนเพื่อทำลายจุดแข็งฝ่ายตรงข้าม
อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ถูกส่งในเกมสองที่เต็มด้วยความกดดันว่าต้องเอาชนะเม็กซิโกให้ได้โดยผู้เล่นจากไบร์ทตันคนนี้เหมือนเข้ามาประสานเชื่อมต่อให้เกมรับกับเกมรุกสมดุลขึ้น สามแต้มวันนั้นทำให้ทีมมั่นใจขึ้นเยอะ
อีกจุดต่อมาก็เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ มิดฟิลด์อายุแค่21เท่านั้น ประสบการณ์มีน้อยนิดแต่สกาโลนี่เล็งเห็นถึงความขยัน, ทุ่มเทกับการอ่านเกมที่เฉียบขาด
ครั้นพอผ่านเข้ารอบ8ทีมมาเจอเนเธอร์แลนด์ของหลุยส์ ฟาน กัลซึ่งเกมนัดนั้นก็เรียกว่าทำให้หลายสายตาต้องหันมาจดจ้องกับยอมรับในฝีมือของโค้ชที่เคยค้าแข้งให้เวสต์แฮมช่วงสั้นๆ จาก4-3-3ปรับมาใช้3-5-2โดยเหตุผลหลักก็เพื่อไว้สู้กับสูตรหลังสามตัวของฟาน กัล
คุณสามารถเรียกสิ่งนี้ว่า'หนามยอกเอาหนามบ่ง'
มาถึงคืนอังคารล่าสุดกับโครเอเชียก็เป็นสกาโลนี่อีกนี่แหละที่จัดหมากทำเอาประหลาดใจตามกันต่อระบบแสนเบสิคเลย4-4-2โดยเป็นเลอันโดร ปาเรเดสได้ลงตัวจริงในแดนกลาง ภาพที่ปรากฎในสนามชัดเจนว่าเป็นเพราะต้องการใช้มิดฟิลด์สไตล์ผึ้งงานลงไปเพิ่มอีกคน
ใครก็อ่านออกครับว่าอะไรคือจุดแข็งที่สุดของทีมตราหมากรุก ก็ลูก้า โมดริช, มาเตโอ โควาซิชและมาร์เซโล่ โบรโซวิชรับหมวกทีมชาติรวมกันถึง331ใบ
สกาโลนี่จึงเป็นกุนซือที่ไม่ธรรมดาเลย
นอกจากนั้นรายละเอียดของเกมรอบตัดเชือกคู่แรกก็ยังพบด้วยว่าพลันที่บอลเขี่ยก็เป็นขุนพลโครแอตที่เดินหน้าเข้าใส่ เกมเพรสทำได้ดี เกมแดนกลางก็ดูคุมได้อยู่มือ ยิ่งมีช็อตที่เมสซี่ก้มลงไปดูอาการบาดเจ็บแถวด้านหลังของโคนขาด้วยแล้วก็คล้ายว่านี่เป็นเกมที่พระเจ้าอาจเลือกผู้ชนะไว้แล้ว
อย่างไรก็ตามฟุตบอลไม่เคยตัดสินกันใน20นาทีแรก พอเกมผ่านไปก็กลายว่านี่เป็นหลุมพรางที่สกาโลนี่ได้ขุดล่อเอาไว้ จากที่ควรเป็นพวกเขาครองบอลกับบุกใส่เยอะก็สลับกันโดยกลายว่าทีมฟ้าขาวอาศัยแท็กติกรับให้แน่นแล้วรอฉวยโอกาส
ในครึ่งแรกค่าxG(Expected goals)ของอาร์เจนติน่าก็มีถึง1.5แล้วซึ่งโครเอเชียไม่เคยเสียค่าxGสูงเท่านี้มาก่อนตลอดทัวร์นาเมนต์ เอา5เกมก่อนนี้รวมกันเฉพาะครึ่งแรกก็แค่0.87เท่านั้น
ประตู1-0มาจากเกมฉวยเร็วโดยเฟร์นานเดซตักบอลยาวไปให้ฆูเลี่ยน อัลบาเรซได้ลูกหลุดเข้าเขตโทษก่อนโดนโดมินิค ลิวาโควิช นายทวารโครแอตทำฟาวล์
ประตู2-0เป็นอัลบาเรซคนเดิมที่พาบอลแหกจากกลางสนามไปสำเร็จโทษด้วยตัวเอง
จบ45นาทีแรกก็เหมือนส่งให้เหล่าสาวกเมสซี่ได้ฉลองกันล่วงหน้าแล้ว ความที่โครเอเชียไม่ถนัดเกมประเภทนี้อันหมายถึงต้องพลิกสถานการณ์กลับมาหลังตกเป็นรอง ไหนจะเรื่องของบรรยากาศในสนามที่เต็มไปด้วยแพสชั่นของกองเชียร์อาร์เจนติน่าด้วยแล้วก็เหมือนว่านี่คือกรุงบูโนสไอเรส ไม่ใช่โดฮา
กระนั้นครึ่งหลังสกาโลนี่ก็ไม่ได้วางใจเลยกับสกอร์ห่างสองลูก เขาคงเน้นให้ความสำคัญกับรายละเอียดเหมือนเดิม เปลี่ยนลิซานโดร มาร์ติเนซลงคนแรกพอเข็มนาฬิกากระดิกมาครบชั่วโมง หันไปใช้แผงหลังสามคนเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยเฉกเกมกับเนเธอร์แลนด์ที่นำ2-0มาโดนตี2-2
ตลอดเกมอาร์เจนติน่าครองบอลแค่39%เท่านั้นแต่ทั้งหมดมาจากความตั้งใจกับการซักซ้อมมาอย่างดีถึงวิธีการเอาชนะโครเอเชีย
แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญที่สุดของเกมก็ฉายไปที่เมสซี่ เขาแสดงออกมาครบถ้วนในเกมๆเดียวว่าทำไมเขาถึงเป็นสุดยอดนักเตะแห่งยุค มีบางคนยังยกให้ว่าเป็นที่สุดของตลอดกาลเท่าที่โลกเคยมีมาด้วยซ้ำ
ในเกมที่ควรสูสีกันก็ได้ผลลัพธ์ที่ห่างชั้นเลย หนึ่งในปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็ตรงความฝันของคนหลายคนที่อยากให้ฉากสุดท้ายของเวิล์ด คัพหนนี้เป็นผู้เล่นหมายเลข10ของอาร์เจนติน่าเดินนำเพื่อนไปชูถ้วย
"Messi Messi Messi"เสียงตะโกนถึงฮีโร่แต่ขณะเดียวกันก็ทำท่ากราบไหว้ตามประหนึ่งกำลังสักการะเทพเจ้าสักองค์
หันไปทางไหนก็ต้องเจอเสื้อสีฟ้าขาวกับชื่อของเมสซี่บนแผ่นหลัง
มองไปทงไหนก็ต้องมีแผ่นผ้าที่ทำด้วยมือและรีดออกมาจากหัวใจถึงขวัญใจของพวกเขา บางผืนวาดออกแนวนักรบ มือข้างหนึ่งถือธงชาติ อีกข้างถือถ้วยแชมป์
เมสซี่กลายเป็นคนที่ทำประตูสูงสุดในเวิล์ด คัพให้อาร์เจนติน่า นับรวมแล้ว11ประตู(แซงกาเบรียล บาติสตูต้า)
เมสซี่ก็กำลังจะเป็นนักเตะที่ลงสนามในศึกฟุตบอลโลกสูงสุดนัดชิงวันอาทิตย์นี้(ตอนนี้เท่าโลธ่าร์ มัทเธอุส25เกม)
หากก็เชื่อเถอะว่าเรคคอร์ดพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญใดๆเลยสำหรับเจ้าตัว ความหวังเดียวที่สูงสุดของเมสซี่ก็อยู่ที่สามารถนำทีมไปถึงตำแหน่งแชมเปี้ยน
มันคือความฝันของชาวอาร์เจนติน่าทุกคน
มันก็ยังเป็นปรารถนาของใครก็ตามที่บูชาเมสซี่
เอาว่าถึงนาทีนี้ก็มีบางคนเลยที่ก่อนนี้อาจจะเฉยๆหรือว่าไม่ได้ชอบนักด้วยก็ยังแอบลุ้นว่าคนเขียนบทจะไม่ใจร้ายให้มีการหักมุมในตอนจบของหนังเรื่องนี้ ก็ตอนนี้เหลือแค่สองอย่างเท่านั้นที่เราจะได้เห็นกันในเกมชิงชนะเลิศ
น้ำตาของเมสซี่ที่ออกมาเพราะดีใจหรือน้ำตาที่ออกมาเพราะเสียใจ
"ผมมีความสุขที่จะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของผมในเกมสุดท้ายในรอบชิง ทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ผมมีสนุกมากในการรับใช้ประเทศชาติและผมก็แค่หวังว่าคราวนี้จะทำให้ทุกคนในอาร์เจนติน่ามีความสุขที่สุด"
มันกำลังจะเป็นThe Last Danceของนักฟุตบอลตัวเล็กๆคนหนึ่ง
(ถึงบรรทัดนี้ผมกำลังนึกถึงตอนนาทีท้ายๆของเกมที่รอแค่เสียงนกหวีดยาว ก็มีผู้เล่นอาร์เจนติน่าถึงสามคนเข้าไปรุมนักเตะโครแอตคนเดียวเหมือนฝูงจิ้งจอกที่กำลังรุมขย้ำเหยื่อ หนึ่งในนั้นเป็นคนเดียวกับที่รอขึ้นโชว์ในฉากสุดท้าย...)
"ไก่ป่า"