ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศจนได้สำหรับ ฝรั่งเศส ซึ่งโชว์ลูกเก๋าเอาชนะ อังกฤษ ด้วยสกอร์ 2-1 ในเกม ฟุตบอลโลก 2022 รอบแปดทีมสุดท้ายเมื่อวันเสาร์ที่ 10 ธ.ค.
ถึงขณะนี้ จึงเป็นอันว่าทีมเมืองน้ำหอมจะเข้าไปตัดเชือกกับม้ามืดอย่าง โมร็อคโก เพื่อหาทีมชนะเข้าไปชิงแชมป์กับ อาร์เจนติน่า หรือไม่ก็ โครเอเชีย รองแชมป์เก่า ขณะที่ สิงโตคำราม ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ แต่ยังไม่ดีพอที่จะประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์สำคัญอีกตามเคย
1.ข่าวรั่ว
ท้ายที่สุด แกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่ทีมชาติ อังกฤษ ก็จัดขุมกำลังชุดเดิมจากเกมยำใหญ่ เซเนกัล 3-0 ในรอบ 16 ทีมลงสนามฟาดแข้งกับ ฝรั่งเศส เหมือนที่สื่อของประเทศปูดข่าวออกมาล่วงหน้า
ต่อประเด็นนี้ ลุค ชอว์ แบ๊คซ้ายทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งโวยสื่อของประเทศไปหมาดๆว่าขยันปล่อยข่าวให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ความเคลื่อนไหวซึ่งจะเข้าทางทีมคู่แข่งมากกว่า แต่มันจะเป็นจริงหรือไม่คงต้องไปว่ากันในสนาม
อย่างไรก็ดี ที่เพิ่มเติมมาก็คือ สิงโตคำราม ได้ต้อนรับการกลับมาของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งมีชื่อนั่งเป็นตัวสำรองหลังตัดสินใจบินกลับเมืองผู้ดีกระทันหันเนื่องจากมีกลุ่มคนร้ายบุกขึ้นไปขโมยทรัพย์สินในบ้าน แต่โชคดีที่ครอบครัวไม่ได้รับอันตราย ขณะที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด เฝ้าเสาในเกมนี้กับทีมชาติเป็นนัดที่ 50 พอดี
2.ตราไก่ ชุดเดิมมา ชุดเดิมกลับ ไม่โกง
ด้าน ฝรั่งเศส หนีไม่พ้นถูก เล กิ๊ป สื่อใหญ่ของประเทศระบุว่า ดิดิเยร์ เดสช็องส์ จะส่งทีมชุดเดิมจากเกมพิชิต โปแลนด์ 3-1 ในรอบ 16 ทีมลงบู๊กับ อังกฤษ เช่นกัน และเป็นไปตามที่มีกระแสข่าวรายงานเป๊ะ
ฉะนั้นแล้ว อูโก้ โยริส นายทวารทีม สเปอร์ส จึงสร้างสถิติติดทีมชาติมากที่สุด 143 นัดแซงหน้า ลิลิยอง ตูราม อดีตกองหลังสมาชิกชุด แชมป์โลก ปี 1998 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
3.ครึ่งแรก สิงโต ฟอร์มเยี่ยมแม้ตามหลัง
แม้จะต้องต่อกรกับ แชมป์โลก แต่บอกได้เลยว่า อังกฤษ เล่นกันได้อย่างน่าประทับใจไม่ได้เป็นรองทีม เลส์ เบลอส์ แต่อย่างใดแม้จะเสียประตูก่อนตั้งแต่นาทีที่ 17 จากการตะบันของ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ซึ่งซัดได้อย่างเด็ดขาดจาก 25 หลาส่งบอลเสียบมุมประตูชนิดที่ พิคฟอร์ด พุ่งสุดเหยียดแล้ว แต่ปัดไม่ถึงซึ่งทำให้ อองตวน กรีซมันน์ เป็นนักเตะ ฝรั่งเศส ที่แอสซิสต์ในเกมทีมชาติได้มากที่สุดในรอบ 50 ปีหลัง (27) มากกว่าทั้ง เธียร์รี่ อองรี และ ซีเนดีน ซีดาน ที่ทำได้ 26 แอสซิสต์เท่ากัน
ทว่านับจากนั้น ก็ดูเหมือนพลพรรค สิงโตคำราม จะเครื่องร้อนกันทันที และเปิดฉากโจมตีใส่คู่แข่งอย่างแข็งขัน แถมได้เสียวหลายหนด้วยโดยเฉพาะ แฮร์รี่ เคน ซึ่งเกมนี้เล่นได้อย่างอันตราย แต่ไยังม่อาจเอาชนะ โยริส เพื่อนร่วมสโมสรได้จากสองโอกาสทอง
แต่ที่แน่ๆ หลังจบครึ่งแรก อังกฤษ ครองบอลได้มากกว่า 58:42% และได้กระทุ้ง 5 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ทีมเมืองน้ำหอมได้ยิง 3 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงต้องลุ้นกันต่อว่าครึ่งหลัง อังกฤษ จะยังรักษามาตรฐานได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ และจะดีพอต่อการทวงสกอร์คืนหรือเปล่าเพื่อปูทางไปสู่ชัยชนะเนื่องจากสถิติบ่งชี้ว่าทีมเมืองผู้ดีไม่เคยกำชัยในเกม ฟุตบอลโลก เลยหากตกเป็นรองก่อนในครึ่งแรก (เสมอ 2 แพ้6) ขณะที่ ฝรั่งเศส ชนะ 24 จาก 25 นัดหากพวกเขานำก่อน ส่วนอีกนัดออกเสมอ
4.กัปตัน เคน ทาบสถิติ รูนีย์
เข้าครึ่งหลัง อังกฤษ ยังเล่นได้อย่างน่าเกรงขาม และถึงนาทีที่ 54 ก็มาได้ลูกโทษจากจังหวะที่ ชูอาเมนี่ รวบ บูคาโย่ ซาก้า ล้มก่อนที่ เคน จะสังหารได้อย่างเฉียบขาดอีกตามเคย
ต่อประตูตีเสมอของ ทรี ไลอ้อนส์ ทำให้ เคน ยิงประตูในนามทีมชาติเป็นลูกที่ 53 แล้วเทียบเท่ากับ เวย์น รูนีย์ อดีตกองหน้าทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของชาติพอดิบพอดี
แต่แน่นอนว่าคลื่นลูกหลังย่อมซัดคลื่นลูกแรก และถึงขณะนี้ เคน ใช้เวลาแค่ 80 นัดเท่านั้น (2015-ปัจจุบัน) ขณะที่ รูนีย์ ซึ่งกระทุ้งให้แผ่นดินเกิดได้ 53 ประตูใช้เวลาลงบู๊มากถึง 120 นัด (2003-2018) อีกทั้งไม่มีนักเตะคนไหนยิงลูกโทษตุงตาข่ายในเกม ฟุตบอลโลก มากไปกว่า สตาร์ทีม สเปอร์ส ด้วย (4ประตู) โดยไม่นับรวมการยิงลูกโทษตัดสิน
5.ชิรูด์ ขโมยซีน
แม้เกมส่วนใหญ่จะเป็นรอง อังกฤษ แต่ในฐานะ แชมป์เก่า ฝรั่งเศส ขอโอกาสไม่มากเลย และถึงนาทีที่ 78 กรีซมันน์ ก็เพิ่มสถิติแอสซิสต์ของตัวเองด้วยการสาดบอลยาวจากกราบซ้ายมาเสาแรกให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีบทบาทมากนักโถมโขกเผาขนที่เสาแรกได้ก่อน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พาทีมเมืองน้ำหอมนำ 2-1
ถึงตรงนี้ กองหน้าทีม เอซี มิลาน ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ เลส์ เบลอส์ จึงสร้างสถิติอีกชิ้นด้วยการเป็นนักเตะที่มีอายุมากกว่า 36 ปีรายที่สองที่สอยตาข่ายในเกม ฟุตบอลโลก คราวเดียวกันได้สี่ประตูเช่นเดียวกับ โรเจอร์ มิลล่า
อย่างไรก็ดี นาทีที่ 84 ฝรั่งเศส มาทำเสียลูกโทษอีกจนได้โดยคราวนี้ เตโอ แอร์กน็องเดซ วิ่งชน เมสัน เมาท์ ตัวสำรองของทีมเมืองล้มคะมำ หากแต่คราวนี้ เคน กดดันไม่น้อย และซัดบอลโด่งข้ามคานอย่างน่าเสียดาย
ครบ 90 นาที ฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องครองบอลได้เหนือกว่าคู่แข่ง แต่สามารถคว้าชัยชนะได้เนื่องจากทีมของ เดส์ช็องส์ ครองบอลเป็นรอง 57:43% ได้ส่องยิงน้อยกว่า 16:8 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้แย่กว่า 8:5 ครั้ง แต่ลงเอยแล้วพวกเขาได้เฮด้วยสกอร์ 2-1
สำหรับ อังกฤษ ซึ่งชอกช้ำมากกว่าทุกชาติกับการตกรอบแปดทีม ฟุตบอลโลก ถี่ยิบที่สุดเป็นครั้งที่เจ็ดเข้าไปแล้วนั้น เรื่องที่ต้องจับตามองกันก็คือ เซาธ์เกต จะได้คุมทีมต่อหรือไม่หลังจาก เดลี่ เมล เคยเผยว่า เอฟเอ พร้อมให้เขานั่งเก้าอี้ตามที่มีสัญญาไปจนถึง ฟุตบอลยูโร 2024 แม้เขาจะคุมทีมแพ้ ฝรั่งเศส ก็ตาม