ในที่สุด ประวัติศาสตร์ก็ถูกจารึกว่า โมร็อคโก สร้างวีรกรรมเป็นชาติแรกจาก แอฟริกา ที่ผ่านเข้ารอบตัดเชือก ฟุตบอลโลก เป็นผลสำเร็จจากการเอาชนะ โปรตุเกส ไปได้แบบเต็มกลืน 1-0 ในการฟาดแข้งรอบแปดทีมสุดท้ายเมื่อวันเสาร์ที่ 10 ธ.ค.
จากภาพรวมของเกม แม้ว่าทีม ฝอยทอง จะบุกเข้าใส่ได้ตลอด แต่เกมถูกตัดสินด้วยประตูเดียวจาก ยุสเซฟ เอ็น เนเซรี่ ในช่วงท้ายครึ่งแรกซึ่งมากพอที่จะทำให้ทีมจอมหนังเหนียวเข้าไปรอเล่นในรอบรองชนะเลิศเจอกับทีมชนะระหว่าง อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส
1.ตามคาด โรนัลโด้ นั่งสำรอง
เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อ แฟร์นานโด ซานโต้ส กุนซือทีมชาติ โปรตุเกส ประกาศ 11 รายชื่อออกมาโดยที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กองหน้าวัยดึกตกเป็นตัวสำรองอีกนัด และเป็น กอนซาโล่ รามอส ที่ได้ออกสตาร์ตตามระเบียบ
นอกจากนี้ ชูเอา กานเซโล่ กองหลังทีม แมนฯ ซิตี้ ก็หลุดจากโผตัวจริงอีกเกมเช่นกัน รวมแล้วทีม ฝอยทอง ปรับทัพหนึ่งตำแน่งจากเกมขยี้ สวิตเซอร์แลนด์ 6-1 ในรอบแปด 16 ทีมโดยที่ รูเบน เนเวส กองกลางทีม วูล์ฟส์ เบียด วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ ตกขอบ
2.โมร็อคโก สะอึกขาดสองคีย์แมนแนวรับ
ด้าน โมร็อคโก ของกุนซือ วาลิด เรกรากุย งานเข้าเต็มเปาเมื่อสองกองหลังทั้ง นาเยฟ อาเกิร์ด เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีม เวสต์แฮม กับ นูซาอีร์ มาซราอุย แบ็คซ้ายทีม บาเยิร์น บาดเจ็บทั้งคู่ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายอย่างแท้จริงสำหรับทีมจาก แอฟริกา
สำหรับสองดาวเตะที่ได้รับภาระสำคัญในเกมนี้ได้แก่ จาวัด เอล ยามิก เซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัย 30 ปีของทีม เรอัล บายาโดลิด กับ ยาห์ย่า อัตติยัน อัลลาห์ ดาวเตะทีม วีดัด เอซี ในลีกของประเทศซึ่งติดธงนัดนี้เป็นหนที่เจ็ดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ยาสซีน บูนู มือกาวทีม เซบีย่า รับใช้ชาติเป็นเกมที่ 50 พอดีหลังโชว์ความหนึบเซฟลูกโทษพาทีมผ่านด่าน สเปน มาได้ในรอบ 16 ทีม
3.ฮีโร่ที่ชื่อ ยุสเซฟ เอ็น เนเซรี่
ทำแสบอีกเกมจนได้สำหรับ โมร็อคโก ทีมม้ามืดจาก แอฟริกา ซึ่งแม้จะครองเกมใน 45 นาทีแรกได้ด้อยกว่า โปรตุเกส แต่พวกเขามีโอกาสส่องยิงมากกว่า และได้ประตูออกนำในนาทีที่ 42 จาก ออง นาไซร่ กองหน้าวัย 25 ปีของทีม เซบีย่า
จากสถิติที่ถูกเผยออกมา ทีม ฝอยทอง ได้ครองบอลมากกว่าในระดับ 66:34% แต่เป็น สิงโตแห่งแอตลาส ที่ได้สับไก 7 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ทีมจากยุโรปได้ยิง 5 ครั้ง เข้ากรอบหนึ่งครั้ง
นอกจากนี้ เอ็น เนเซรี่ ยังเป็นนักเตะ โมร็อคโก คนแรกที่คลำเป้าใน ฟุตบอลโลก ได้มากที่สุดถึงสามประตูด้วยโดยในทัวร์นาเมนต์ที่ กาตาร์ เขาซัดได้ในแมตช์ชนะ แคนาดา 2-1 ในนัดที่สองของรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะเบิกตาข่าย ฝอยทอง ในเกมนี้ได้โดยเมื่อสี่ปีที่แล้วที่ รัสเซีย เขายิงเม็ดแรกใหักับตัวเองในเกมรอบแบ่งกลุ่มปิดท้ายที่เสมอกับ สเปน 2-2 แต่หนีไม่พ้นต้องตกรอบในฐานะทีมบ๊วย
และอันที่จริง ฟุตบอลโลก ปี 2018 โมร็อคโก อยู่ในกลุ่มเดียวกับ โปรตุเกส ด้วย แต่พวกเขาปราชัย 1-0 ในเกมที่สองโดยเสียท่าให้ โรนัลโด้ ตั้งแต่นาทีที่ 4
4.ได้ (หมด) เวลา โรนัลโด้
จากสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง เป็นเรื่องจำเป็นที่ โปรตุเกส ต้องส่ง โรนัลโด้ ลงไปกู้วิกฤตในนาทีที่ 50 ซึ่งทำให้สตาร์วัย 37 ปีติดทีมชาติมากที่สุดเป็นนัดที่ 196 เทียบเท่ากับ บาเดอร์ อัล มูตาว่า ศูนย์หน้าทีมชาติ คูเวต ซึ่งมีอายุเท่ากับ ซีอาร์เซเว่น พอดี
ขณะเดียวกัน โปรตุเกส ก็เล่นได้ดีขึ้น และบุกกดดันใส่ โมร็อคโก อย่างต่อเนื่อง แถมมีลุ้นจบสกอร์หลายต่อหลายครั้ง
สำหรับ โรนัลโด้ ต้องบอกว่าผลงานโดยรวมถือว่าน่าพอใจเนื่องจากมีจังหวะผ่านบอลให้ ชูเอา เฟลิกซ์ ซึ่งมีโอกาสพังตาข่ายในเกมนี้บ่อยครั้งที่สุดได้กระทุ้งเหน่งๆ แต่โดน บูนู ปัดพ้นคาน ก่อนที่ตัวของ เฮียโด้ เองจะได้สับไกในช่วงทดเวลา แต่ถูก บูนู ล้มตัวตะปบได้สำเร็จ จวบจนครบ 90 นาที สตาร์ดังร่างบึกจึงหมดโอกาสลุ้นคว้า แชมป์โลก เป็นครั้งแรกในชีวิต และทำให้เจ้าตัวหลั่งน้ำตาเดินเข้าอุโมงค์ทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
ขณะเดียวกัน โรนัลโด้ ไม่อาจยิงประตูแรกให้ตัวเองในรอบน็อคเอาต์ของ ฟุตบอลโลก ได้เช่นกันจากทั้งหมดแปดเกมซึ่งกินเวลาที่เจ้าตัวได้อยู่ในสนาม 570 นาที และมีโอกาสกระทุ้ง 27 ครั้ง
ต่อสถิติหลังจบเกม แน่นอนว่า โปรตุเกส เล่นได้อย่างน่าเกรงขามมากขึ้นในครึ่งหลัง และทำให้พวกเขาได้ครองบอลเพิ่มขึ้นเป็น 73:27% ตลอดจนได้ยิงประตู 12 ครั้งโดยเป็นการส่งบอลเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ โมร็อคโก ได้เข่นทั้งสิ้น 9 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้งเท่ากัน
5.ประวัติศาสตร์หน้าใหม่
อย่างที่ทราบกันว่าหลังจาก โมร็อคโก พลิกล็อคเอาชนะ โปรตุเกส ได้อีกทีม พวกเขาก็กลายเป็นชาติจาก แอฟริกา รายแรกที่ผ่านเข้าถึงรอบตัดเชือก ฟุตบอลโลก เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่เคยมีชาติไหนจากทวีปนี้ประสบความสำเร็จสูงขนาดนี้มาก่อน อย่างเก่งก็จอดป้ายในรอบแปดทีมด้วยกันทั้งนั้น
-แคเมอรูน แพ้ อังกฤษ 3-2 (หลังต่อเวลาพิเศษ) ปี 1990
-เซเนกัล แพ้ ตุรเคีย 1-0 (หลังต่อเวลาพิเศษ) ปี 2002
-กาน่า เสมอ อุรุกวัย 1-1 (กาน่า แพ้ดวลลูกโทษ 4-2) ปี 2010
โดยเฉพาะ โมร็อคโก เอง ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาใน ฟุตบอลโลก เป็นการทะยานเข้าถึงรอบน็อคเอาต์แค่หนเดียวในปี 1986 ซึ่งเป็นการเข้ามาเล่นในรายการนี้เป็นคำรบสองของประเทศ
และอันที่จริง ในปีดังกล่าวซึ่ง เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ โมร็อคโก อยู่ในกลุ่มเดียวกับ อังกฤษ ด้วย แต่พวกเขาเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งโดยมีแต้มมากกว่า สิงโคำราม หนึ่งแต้มจากผลลัพธ์ชนะหนึ่ง เสมอสอง (ทีมชนะได้สองแต้มในยุคนั้น)
สำหรับเกมที่ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากันเป็นเกมที่สอง และเสมอกันไปแบบไม่มีประตูก่อนที่ทีมเมืองผู้ดี จะตาม โมร็อคโก เข้ารอบได้จากผลงานชนะหนึ่ง เสมอหนึ่ง และแพ้หนึ่ง
ถึงกระนั้น หลังจากนั้น สิงโตคำราม ไปได้ไกลกว่าเนื่องจากพวกเขาเอาชนะ ปารากวัย 3-0 ก่อนพ่ายต่อ อาร์เจนติน่า 2-1 ในรอบแปดทีมส่วนทีมจาก แอฟริกา เสียท่าให้กับ เยอรมันตะวันตก 1-0 ทันทีในรอบ 16 ทีม