โมร็อกโก จารึกประวัติศาสตร์ กลายเป็นทีมแรกจากทวีปแอฟริกา ที่ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้สำเร็จ หลังพลิกล็อกปราบ โปรตุเกส 1-0 โดยเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่าง อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส ในรอบตัดเชือก ซึ่งจะแข่งวันที่ 14 ธ.ค.นี้
การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ประจำวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่สนาม อัล ธูมาม่า สเตเดี้ยม ระหว่าง โมร็อกโก พบ โปรตุเกส
วาลิด เรกรากุย เทรนเนอร์ทีมชาติโมร็อกโก พาทีมเข้ารอบนี้ หลังเอาชนะจุดโทษสเปน 3-0 โดยตลอด 120 นาทีทำอะไรกันไม่ได้เสมอจืดชืด 0-0 ทำให้ยังไม่แพ้ใครในทัวร์นาเม้นต์นี้
ขณะที่ แฟร์นานโด ซานโต๊ส เทรนเนอร์ทีมชาติโปรตุเกส พาทีมเข้ารอบนี้มาแบบสบายเกินคาด หลังถล่มสวิตเซอร์แลนด์ขาดลอย 6-1 ในรอบ 16 ทีม
ครึ่งแรกเริ่มมาไดแค่ 4 นาที โปรตุเกส ได้ทักทายก่อนเมื่อ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เปิดฟรีคิกเข้าเขตโทษให้ ชูเอา เฟลิกซ์ พุ่งมาโขกไปติดเซฟ ยาสซีน บูนู
หลังจากนั้น นาทีที่ 6 โมร็อกโก ได้โอกาสบ้างจากจังหวะเตะมุมทางฝั่งซ้ายแล้วเป็น ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ ขึ้นโขกบอลหลุดกรอบไปนิดเดียว
นาที 26 โมร็อกโก ได้ลุ้นต่อเนื่องจากจังหวะเตะตมุมอีกครั้ง และเป็นเจ้าเดิมอย่าง ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ โฉบมาโหม่งแต่โดนไม่เต็มบอลข้ามคานออกไป
โอกาสใกล้เคียงมากที่สุดของ โปรตุเกส มาเกิดขึ้นในนาทีที่ 30 เมื่อ ชูเอา เฟลิกซ์ ได้โอกาสตั้งป้อมซัดเต็มข้อด้วยขวา
หน้าเขตโทษบอลไปแฉลบแนวรับ โมร็อกโก เหินข้ามคานไปแบบหวุดหวิด
นาที 39 โปรตุเกส ขึ้นเกมมาทางกราบซ้ายแล้วเป็น ราฟาแอล เกร์เรยโร่ บอลเปิดบอลเรียดมาให้ เฟลิกซ์ สอดมายิงด้วยซ้ายแบบไม่จับบอลไม่ตรงกรอบ
อย่างไรก็ตาม นาที 42 กลายเป็น โมร็อกโก ทำช็อกพลิกขึ้นนำก่อน 1-0 ยาห์ย่า อัลลาห์ เปิดจากกราบซ้ายบอลย้อยมาเข้าหัว ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ ขึ้นโหม่งตัดหน้า ดิโอโก้ กอสต้า ส่งบอลตุงตาข่าย
ครึ่งหลัง นาที 57 โมร็อกโก ต้องมาสังเวยกองหลังตัวเก่งอย่าง โรแม็ง ซาอิสส์ ที่มีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวแล้วเป็น อาชราฟ ดารี่ ลงมาเล่นแทน
โปรตุเกส บุกใส่แบบวัยเวย์ นาที 58 บรูโน่ ตักบอลไปที่เสาไกลให้ กอนซาโล่ รามอส ได้โหม่งคนเดียวแบบโล่งๆ บอลก็ยังเหินข้ามคานไปอีก
หลังจากนั้น นาที 64 ใกล้เคียงที่จะใส่สกอร์อีกครั้ง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ได้ตะบันด้วยขวาหน้ากรอบบอลเหินข้ามคานออกหลังไปนิดเดียว
จนแล้วจนรอด โปรตุเกส ก็ยังตีเสมอไม่ได้ นาที 82 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไหลถวายพานให้ ชูเอา เฟลิกซ์ วิ่งมาปั่นด้วยซ้ายบอลกำลังจะเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ ยาสซีน บูนู โชว์ซูเปอร์เซฟบินปัดออกหลัง
ช่วงทดเวลานาที 45+1 โรนัลโด้ ได้โอาสจะแจ้งครั้งแรกในเกมนี้ หลุดมากดด้วยขวาในเขตโทษยังติดเซฟของ ยาสซีน บูนู
นาที 90+3 โมร็อกโก ต้องมาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน หลัง วัลลิด เชดดิร่า มาโดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม จากการเจตนาเล่นนอกเกมใส่แข้ง โปรตุเกส
เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม โมร็อกโก ชนะ โปรตุเกส 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปรอพบผู้ชนะระหว่าง ฝรั่งเศส หรือ อังกฤษ วันทื่ 18 ธันวาคมนี้
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
โมร็อกโก (4-3-3) : ยาสซีน บูนู - อาชราฟ ฮาคิมี่, นาเยฟ อาเกิร์ด, โรแม็ง ซาอิสส์ (อาชราฟ ดารี่ น.57), นุสแซร์ มาซราอุย - อัซเซดีน อูนาฮี, โซฟียาน อัมราบัต, เซลิม อมัลลาห์ (วัลลิด เชดดิร่า น.65) - ฮาคิม ซิเย็ค, ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ (บาร์ด เบอนูน น.65), โซฟิยาน บูฟัล
โปรตุเกส (4-3-3) : ดิโอโก้ กอสต้า - ดิโอโก้ ดาโล่ต์, เปเป้, รูเบน ดิอ๊าส, ราฟาแอล เกร์เรยโร่ (ชูเอา กันเซโล่ น.51) - โอตาวิโอ (วิตินญ่า น.69), รูเยน เนเวส (คริสเตียโน่ โรนัลโด้ น.51), แบร์นาร์โด้ ซิลวา - บรูโน่ แฟร์นันด์ส, กอนชาโล่ รามอส (ราฟาเอล เลเอา น.69), ชูเอา เฟลิกซ์