อังกฤษ เตรียมความพร้อมเต็มสูบในการดวลกับ ฝรั่งเศส รอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลก 2022 วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคมนี้ โดยลูกทีมของแกเร็ธ เซาธ์เกต กำลังอยู่ในช่วงคึกสุดๆ เพราะทำผลงานได้ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเกมรุกหรือเกมรับถือว่ามีความสมดุลอย่างมาก ขณะที่ทัพ "ตราไก่" ก็ไม่ธรรมดาฟอร์มโหดเช่นกัน ยิ่งตอนนี้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เต็มไปด้วยความมั่นใจยิ่งทำให้พวกเขาอันตรายมากขึ้นเป็นทวีคูณ กระนั้นสิ่งสำคัญก็คือ "สิงโตคำราม" ต้องพยายามเลี่ยงการดวลจุดโทษเพราะพวกเขามักจะทำผลงานไม่ดีในเรื่องนี้ แต่กระนั้น เซาธ์เกต ก็ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะขนาด สเปน ซ้อมยิงเป็นพันครั้งยังร่วงตกรอบเพราะจุดโทษมาแล้ว !!!
1. วัดความคม เคน กับ ชิรูด์
สำหรับตอนนี้ แฮร์รี่ เคน ตะบันให้กับทีมชาติอังกฤษไปแล้ว 52 ลูกจากทุกรายการโดนตามหลัง เวย์น รูนี่ย์ เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวตลอดกาลทีมชาติเพียงแค่ลูกเดียว (53 ประตู นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปทาบหรือแซงหน้า "รูน" เพื่อเป็นตำนานบทใหม่ของบ้านเกิด
52 ประตูของ เคน ได้แก่ 11 ลูกสำหรับการยิงในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ (7 ลูกในเวิลด์ คัพ, 4 ลูกในเกมยูโร) โดยสถิตินี้แซงหน้า แกรี่ ลินิเกอร์ ตำนานหัวหอกรุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว (10 ประตูในเกมฟุตบอลโลกทั้งหมด)
ขณะที่ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ก็ไม่ธรรมดาโดยเขาตะบันไปแล้ว 3 ลูกให้ ฝรั่งเศส ในเกมเวิลด์ คัพ 2022 โดยมีแค่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เท่านั้นที่ยิงได้มากกว่าในนามทัพ "ตราไก่" (5 ประตู) นอกจากนี้ หัวหอกเอซี มิลาน เพิ่งจะสร้างตำนานบทใหม่แซงหน้า เธียร์รี่ อองรี ในฐานะดาวยิงตลอดกาล "เลส์ เบลอส์" ด้วยสถิติซัดไป 52 ประตูให้กับประเทศชาติ
นอกจากนี้ ชิรูด์ ยังมีลุ้นที่จะเป็นผู้เล่นที่อายุ 36 ปีขึ้นไปที่ยิงประตูได้มากกว่า 3 ลูกในฟุตบอลโลก โดยปัจจุบันมีแค่คนเดียวที่ทำได้นั่นก็คือ โรเจอร์ มิลล่า อดีตแข้งทีมชาติแคเมอรูน ในปี 1990 ( 4 ประตูในวัย 38 ปี)
2. สเตอร์ลิง คืนทัพ "สิงโตคำราม"
หนึ่งในข่าวดีสำหรับแคมป์ทีมชาติอังกฤษ ก็คือการหวนคืนสู่ทัพใหญ่ของ ราฮีม สเตอร์ลิง หลังจากที่นักเตะจำเป็นต้องเดินทางกลับไปดินแดนบ้านเกิด เนื่องจากครอบครัวโดนมิจฉาชีพที่มีอาวุธบุกเข้าไปในบ้านที่ลอนดอน และขโมยทรัพย์สินไปหลายรายการโดยเฉพาะเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาล
ก่อนหน้านี้ ยังไม่แน่ว่า ดาวเตะ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี จะกลับมาช่วยทัพ "ทรี ไลอ้อนส์" หรือเปล่า เพราะต้องการได้รับประกันให้มั่นใจก่อนว่าครอบครัวของเขาจะได้รับความปลอดภัย
สำหรับตอนนี้มีการยืนยันจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ว่า อดีตแนวรุก "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะเดินทางกลับมาช่วยทีมอีกครั้งอย่างแน่นอน
การที่ได้ สเตอร์ลิง คืนทัพทำให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต มีทางเลือกในการเล่นเกมรุกมากขึ้น แต่กระนั้นคาดว่าเจ้าตัวคงยังไม่ให้เขาลงเป็นตัวจริง เพราะปัจจุบันเกมบุกของ อังกฤษ อยู่ในฟอร์มที่เข้าฟัก แต่มีความเป็นไปได้ที่ ดาวเตะเชลซี จะเป็นอาวุธลับหรืออาวุธเด็ดพิฆาต ฝรั่งเศส ก็ได้
3. อังกฤษ VS ฝรั่งเศส สถิติมันยกร่อง
ตามหน้าสื่อ อังกฤษ มีสถิติในการปะทะกับ ฝรั่งเศส น่าประทับใจมากกว่า โดยพวกเขาคว้าชัยชนะได้ถึง 17 เกม, แพ้เพียง 9 แมตช์ และเสมอ 5 เกมเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในศึกฟุตบอลโลก 2 ครั้งที่พบกัน "สิงโตคำราม" ไม่เคยแพ้ "เลส์ เบลอส์" โดยชนะ 2 ครั้งในปี 1966 และ 1982 ในรอบแบ่งกลุ่ม
อย่างไรก็ตามหากเทียบสถิติเรื่องความสำเร็จต้องบอกว่า ฝรั่งเศส เหนือกว่าแน่นอนเพราะพวกเขาคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2 สมัย และยูโร 1 สมัย ขณะที่ อังกฤษ ได้แค่แชมป์โลกสมัยเดียวเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว
นอกจากนี้สถิติในการเจอกันของทั้งสองชาตินับตั้งแต่ปี 1992 ฝรั่งเศส ถือว่าโดดเด่นกว่า โดยชนะ อังกฤษ 2-1 ในศึกยูโร 2004 และชนะเกมอุ่นเครื่อง 4 แมตช์ ส่วน "ทรี ไลอ้อนส์" คว่ำคู่แข่งได้ในเกมอุ่นเครื่อง 2-0 เมื่อ 7ปีก่อน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ เซาธ์เกต กำลังจะกลายเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนแรกที่นำบ้านเกิดเข้ารอบตัดเชือก ฟุตบอลโลก 2 สมัย โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศแค่ 2 ครั้งในยุคของ เซอร์อัลฟ์ แรมซี่ย์ ในปี 1966 และ เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน เมื่อปี 1990
4. เอ็มบัปเป้สายโหดพร้องสังหาร
สำหรับตอนนี้ไม่มีใครฟอร์มร้อนแรงทะลุปรอทเท่ากับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ อีกแล้ว ผลงานตะบันไป 5 ประตูนำเป็นดาวซัลโวศึกฟุตบอลโลก 2022 การันตีให้เห็นว่าเขาคือนักเตะที่แนวรุกทุกชาติห้ามเผลอเด็ดขาด
"ประธานเป้" ไม่ได้มีแค่ยิงประตูเท่านั้น เขายังมีสถิติแอสซิสต์ไปแล้วสองครั้ง มันแสดงให้เห็นแล้ว่า เอ็มบัปเป้ อันตรายทุกครั้งเวลาที่มีบอลหรือไม่มีบอลอยู่กับเท้า ฉะนั้น ไคล์ วอล์คเกอร์ ซึ่งเป็นคนที่จะต้องดวลกับเขาโดยตรงต้องเล่นอย่างมีสมาธิห้ามวอกแวกไม่งั้นโดนลงโทษแน่
เรื่องความรวดเร็วนั้น ฟูลแบ็กแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำท็อปสปีดสูงสุด 34.28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ สตาร์ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำสปีดสูงสุดไว้ที่ 35.89 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าเร็วกว่า วอล์คเกอร์ ดังนั้นกองหลังอังกฤษ ต้องใช้จุดเด่นเรื่องความแข็งแกร่งในการหยุดความคล่องแคล่วว่องไวของแข้งน้ำหอมรายนี้
สำหรับเรื่องที่น่าสนใจของ ฝรั่งเศส ก็คือพวกเขาไม่แพ้ใคร 13 เกมที่มี เอ็มบัปเป้ ลงตัวจริงในศึกยูโร และฟุตบอลโลก (ชนะ 10 เสมอ 3) แถมยังชนะ 9 เกมทุกครั้งที่เขาลงตัวจริงในศึกเวิลด์ คัพ นอกจากนี้เขายังเกี่ยวข้องโดยตรงจาก 12 ประตูที่ลงตัวจริง 13 เกม โดยซัดไป 9 ลูกและทำ 3 แอสซิสต์
5. จุดโทษของแสลงอังกฤษ
หนึ่งในสิ่งที่ อังกฤษ ไม่อยากเจอ หรือขอเลือกเป็นอันดับสุดท้ายนั่นก็คือการต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ เพราะประวัติในการฏีกาลูกหนังของ "สิงโตคำราม" ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเหลือเกิน
สถิติการดวลจุดโทษของ "ทรี ไลอ้อนส์" เป็นของแรงแสลงใจสำหรับแฟนบอลเมืองผู้ดีอย่างมาก ในศึกฟุตบอลโลก พวกเขาต้องน้ำตาร่วงจากช่วงเวลาบีบหัวใจแบบนี้มาแล้วด้วยการแพ้ 3 ครั้งและชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
- ฟุตบอลโลก 1990 เสมอ เยอรมันตะวันตก 1-1 ในเวลา 120 นาที (แพ้จุดโทษ 3-4)
- ฟุตบอลโลก 1998 เสมอ อาร์เจนตินา 2-2 ในเวลา 120 นาที (แพ้จุดโทษ 3-4)
- ฟุตบอลโลก 2006 เสมอ โปรตุเกส 0-0 ในเวลา 120 นาที (แพ้ จุดโทษ 1-3)
- ฟุตบอลโลก 2018 เสมอ โคลอมเบีย 1-1 ในเวลา 120 นาที (ชนะ จุดโทษ 4-3)
ล่าสุด อังกฤษ ต้องเจ็บปวดแทบหัวใจสลายเพราะพวกเขาพ่ายจุดโทษให้กับ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโร 2020 ทำให้ไม่สามารถนำความสำเร็จระดับชาติมาสู่แผ่นดินผู้ให้กำเนิดเกมลูกหนังได้เลยนับตั้งแต่ปี 1966
ทอมเม้ง