โปรตุเกส พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อีกต่อไปแล้วหลังจากกุนซือ แฟร์นานโด ซานโต้ส ดร็อปหัวหอกที่อยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพนักเตะออกจากโผตัวจริงในเกม ฟุตบอลโลก รอบ 16 ทีมดวลกับ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันอังคารที่ 6 ธ.ค.และสามารถขยี้ทีมเมืองนาฬิกาลงได้อย่างย่อยยับ 6-1
อย่างไรก็ดี ในด่านต่อไป ทีมเมือง ฝอยทอง จะต้องเจอกับโจทย์ที่ยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยนัดบู๊กับ โมร็อคโก รอบแปดทีมวันเสาร์ที่ 10 ธ.ค.เนื่องจากทีมหนังเหนียวจาก แอฟริกา สามารถยันเกมรุกของ สเปน ได้อย่างไม่เป็นปัญหา ก่อนเอาชนะทีม กระทิงดุ ได้ด้วยการดวลลูกโทษชี้ขาด
1.ฝอยทอง เอาจริงดร็อป โรนัลโด้
แล้วในที่สุด แฟร์นานโด ซานโต้ส กุนซือทีมชาติ โปรตุเกส ก็ทำตามเสียงเรียกร้องของแฟนบอลด้วยการดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปนั่งเป็นตัวสำรองจนได้
หลังได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตลอดสามนัดของรอบแบ่งกลุ่ม แต่ยิงได้แค่เม็ดเดียว และมีฟอร์มไม่น่าประทับจนมีคะแนนความสามารถติดอยู่ในทีมยอดแย่ของรอบแบ่งกลุ่ม สื่อ โปรตุกีส ก็จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นของกองเชียร์ซึ่งมีมากถึง 70% ที่โหวตให้ ซานโต้ส ดร็อป โรนัลโด้
ประกอบกับนายใหญ่ผมสีดอกเลาระบุกับสื่อก่อนเกมเช่นกันว่าเขาไม่ปลื้มท่าทางของกองหน้าวัย 37 ปีหลังโดนเปลี่ยนตัวในเกมแพ้ เกาหลีใต้ ซึ่งสุดท้ายก็นำมาซึ่งการประกาศรายชื่อ 11 นักเตะฟัดกับ สวิตเซอร์แลนด์ โดยที่ ซีอาร์เซเว่น ไม่อยู่ในโผตัวจริง
2.ครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ต่อการตัดสินใจของ ซานโต้ส ที่กล้าดร็อปกองหน้าตัวกลั่นตามเสียงเรียกร้องของแฟนบอลที่อยากเห็นเขาทำเหมือน เอริค เทน ฮาก ที่จับ โรนัลโด้ นั่งข้างสนาม จึงเท่ากับว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2008 ที่ โปรตุเกส ไม่ส่งดาวเตะร่างบึกลงเล่นเป็นตัวจริงในสองรายการใหญ่ทั้ง ฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร
ฉะนั้นแล้ว โรนัลโด้ จึงต้องยุติการลงเล่นให้แผ่นดินเกิดเป็นตัวจริงในทัวร์นาเมนต์สำคัญเอาไว้ที่ 31 นัดหลังจาก ซานโต้ส ปรับทัพมากถึง 8 รายโดยที่ ชูเอา กานเซโล่ กองหลัง แมนฯ ซิตี้ ก็หล่นไปนั่งข้างสนามเช่นกัน และเหลือเพียงแต่ ดีโอโก้ คอสต้า , ดีโอโก้ ดาโลต์ และ เปเป้ ที่ยังได้ลงบู๊เป็นตัวจริงโดยปราการหลังจอมเก๋าได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย
แต่ก็นั่นแหละ หากผลลัพธ์ไม่เป็นใจ กระแสจะเหวี่ยงกลับมาเล่นงาน ซานโต้ส อย่างไม่ต้องสงสัยข้อหาบังอาจดร็อปดาวซัลโวคนสำคัญในเกมรอบน็อคเอาต์
3.สวิส เปลี่ยนทีมสองตำแหน่ง
สำหรับ สวิตเซอร์แลนด์ กุนซือ มูรัต ยาคิน เลือกปรับโผ 11 ตัวจริงจากเกมคว่ำ เซอร์เบีย 3-2 สองตำแหน่งด้วยกันโดยหวนกลับมาใช้งานนายทวาร ยานน์ ซอมเมอร์ แทนที่ เกรกอร์ โคเบล
ส่วนอีกรายได้แก่กองหลัง เอดิมิลสัน แฟร์นานเดส ซึ่งเขี่ย ซิลวาน วิดเมอร์ ลงไปนั่งเป็นตัวสำรอง
4.เวทีแจ้งเกิด
น่าจะบอกได้ว่า ซานโต้ส ตัดสินใจจัดทีมได้อย่างถูกต้องเมื่อดร็อป โรนัลโด้ ไปนั่งข้างสนาม และส่ง กอนซาโล่ รามอส ลงเล่นเป็นหัวหอกเหมือนที่สื่อคาดหมาย
และในเวลาเพียง 17 นาที ดาวยิงวัย 21 ปีของทีม เบนฟิก้า ก็แสดงให้เห็นถึงชั้นเชิงกับการซัดบอลมุมแคบเสียบสามเหลี่ยมอย่างร้ายกาจพาทีม ฝอยทอง นำหน้า 1-0 ซึ่งเป็นประตูที่สองของเขากับการลงเล่นให้แผ่นดินเกิดเป็นนัดที่สี่โดยสามเกมก่อนหน้านี้ เขาได้อยู่ในสนามรวมทั้งสิ้นแค่ 35 นาทีเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว รามอส จึงเปิดตัวกับศึก ฟุตบอลโลก ได้อย่างเลิศหรูชนิดที่ โรนัลโด้ ยังทำไม่ได้เนื่องจากสตาร์ดังลงเล่น ฟุตบอลโลก เป็นสมัยที่ห้าแล้ว แต่ไม่เคยพังประตูในรอบน็อคเอาต์ได้เลยแม้แต่เม็ดเดียวจากเวลาที่ได้อยู่ในสนามรวมทั้งหมด 514 นาที
กระทั่งนาทีที่ 33 เปเป้ กองหลังวัยดึกก็มาโขกลูกเตะมุมจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตุงตาข่ายให้ทีม ฝอยทอง นำหน้า 2-0 หลังจบ 45 นาทีแรกโดยเจ้าตัวกลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุด (39 ปี 283 วัน) ด้วยที่คลำเป้าในเกม ฟุตบอลโลก รอบน็อคเอาต์ได้
แต่หากนับรวมรอบแบ่งกลุ่มด้วย เปเป้ เป็นดาวเตะที่มีอายุมากที่สุดอันดับสองที่สอยตาข่ายในศึก ฟุตบอลโลก ได้รองจาก โรเจอร์ มิลล่า (42 ปี 39 วัน) ที่ทำประตูให้ แคเมอรูน ได้ในปี 1994
ขณะเดียวกัน มิดฟิลด์ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็สร้างผลงานมีส่วนกับประตูโดยตรงใน ฟุตบอลโลก หนนี้ตลอดทั้งสามนัด (ไม่ได้เล่นเกมแพ้ เกาหลีใต้ 2-1) รวมเป็นห้าประตูแล้วโดยเป็นการยิงได้ 2 ประตู และ แอสซิสต์ 3 ประตู
5.แฮททริคแรก
คนจะดังเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ และในที่สุดเริ่มครึ่งหลังมาได้หกนาที รามอส ก็แผลงฤทธิ์ซัดเม็ดสามของเกมพา โปรตุเกส ทิ้งห่างทีมเมืองนาฬิกาเป็น 3-0 โดยมีสถิติเผยว่าเขายิงบอลเข้ากรอบทั้งสี่ครั้งที่มีโอกาส และเปลี่ยนเป็นสองประตู
จากนั้นในนาทีที่ 67 รามอส ก็มายิงเม็ดสามของตัวเองพาทีม ฝอยทอง ฉีกหนี 4-1 เป็นแฮททริคแรกใน ฟุตบอลโลก ครั้งนี้แม้เจ้าตัวจะโขกสกัดลูกเตะมุมไปเข้าทางให้ มานูเอล อาคันยี่ ตีไข่แตกให้ สวิตเซอร์แลนด์ ได้ก็ตามก่อนที่ดาวยิงดวงใหม่จะถูกเปลี่ยนออกให้ โรนัลโด้ ได้รับใช้ชาติเป็นเกมที่ 195
อย่างไรเสีย รามอส ประกาศศักดาได้อย่างเต็มตัวด้วยการยิงแฮททริคใน ฟุตบอลโลก ได้ตั้งแต่ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงเกมแรกถัดจากที่ มิโรสลาฟ โคลเซ่ สร้างผลงานเอาไว้กับ เยอรมัน ในปี 2002
และหากจะนับเฉพาะดาวเตะเลือด ฝอยทอง รามอส ก็เป็นรายที่สองที่ทำแฮททริคได้ในเกม ฟุตบอลโลก ต่อจาก ยูเซบิโอ ในปี 1966 นัดชนะ เกาหลีเหนือ 5-3 ในรอบแปดทีม
เท่านั้นไม่พอ ในวัย 21 ปี 169 วัน รามอส ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับสองของ โปรตุเกส ที่ยิงประตูในเกม ฟุตบอลโลก ได้รองจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (21 ปี 132 วัน) เมื่อเดือนมิ.ย.2006
และจากการซัดแฮททริคใน ฟุตบอลโลก ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่สร้างผลงานดังกล่าวได้รองจาก ฟลอเรียน อัลเบิร์ต (20 ปี 261 วัน) อดีตดาวเตะทีมชาติ ฮังการี เมื่อปี 1962