โมร็อกโก ยิงได้แม่นยำเฉียบขาดกว่าดวลจุดโทษเอาชนะ สเปน 3-0 หลังเสมอในเวลา 0-0 โดย ยาสซีน บูนู ฮีโร่ของทีมเซฟถึง 2 จุดโทษ พาทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก รอพบคู่ชนะระหว่าง โปรตุเกส หรือสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้
การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ประจำวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565 ที่สนาม เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดี้ยม ระหว่าง โมร็อกโก พบ สเปน
วาลิด เรกรากุย กุนซือทีมชาติโมร็อกโก นำลูกทีมผ่านเข้ารอบมาเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม เอฟ ด้วยสถิติไร้พ่าย (ชนะ 2 เสมอ 1) หลังเฉือนชนะ แคนาดา 2-1 ในเกมนัดที่ผ่านมา
"กระทิงดุ" ภายใต้การนำทัพของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ พลาดท่าโดนทีเด็ดของ ซามูไรบลู พลิกแซงชนะ 2-1 ในเกมนัดส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่ม อี จึงทำให้พวกเขาหล่นมาเป็นอันดับที่ 2
ครึ่งแรกเล่นมาได้ถึงนาทีที่ 12 กลายเป็น โมร็อกโก ที่ได้ทักทายก่อนจากจังหวะซํดฟรีคิกของ อาชราฟ ฮาคิมี่ ส่งบอลเหินข้ามคานออกไป
หลังจากนั้น นาทีที่ 26 สเปน ได้ลุ้นครั้งแรกและเกือบได้ประตูขึ้นนำเมื่อ จอร์ดี้ อัลบา เปิดบอลตัดแนวรับ โมร็อกโก ให้ มาร์โก อเซนซิโอ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปกดด้วยซ้ายในเขตโทษบอลไปเข้าข้างตาข่าย
นาที 33 โมร็อกโก ตัดบอลได้ที่กลางสนามก่อนจะมาเข้าทาง นุสแซร์ มาซราอุย กดด้วยซ้ายหน้ากรอบแต่ไม่ผ่านมือของ อูไน ซิม่อน
แม้ โมร็อกโก จะบุกน้อยกว่าแต่จังหวะลุ้นแบบจะแจ้งทำได้ดีกว่า นาที 43 โซฟิยาน บูฟัล ตักบอลจากกราบซ้ายไปที่เสาไกลให้ นาเยฟ อาเกิร์ด ขึ้นโขกเน้นๆบอลเหินข้ามคานไปแบบหวุดหวิด
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลัง สเปน ได้โอกาสทักทายก่อนในนาทีที่ 54 จากจังหวะฟรีคิกทางฝั่งซ้าย เปดรี้ เขี่ยบอลสั้นให้ ดานี่ โอลโม่ ตะบันเต็มข้อบอลพุ่งไปตรงตัว ยาสซีน บูนู ปัดทิ้งออกมาได้
สเปน ยังเป็นฝ่ายครองเกมเหนือกว่าชัดเจน แต่ปัญหาคือการเจาะแนวรับ โมร็อกโก เข้าไปลุ้นทำประตู หลังยังหาโอกาสไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียวช่วงครึ่งหลัง
จนนาที 78 สเปน ต้องลองยิงจากแถวสอง ดานี่ โอลโม่ เก็บตกได้หน้าเขตโทษก่อนลองตะบันด้วยขวาตูมเดียวบอลข้ามคานไปไกล
ช่วงทดเวลา นาที 90+1 สเปน ได้โอกาสทอง การ์ลอส โซแลร์ เปิดฟรีคิกไปเสาไกลให้ โมราต้า ได้โหม่งแต่บอลยังเหินข้ามคานไปอีก
หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ จบ 90 นาทีเสมอ 0-0 ต้องไปตัดสินกันในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลาพิเศษ นาที 104 โมร็อกโก เกือบชิงขึ้นนำหลัง วาลิด เชดดิร่า ตัวสำรองหลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายแต่ยังไปติดขา อูไน ซิม่อน ช่วยเซฟให้ทัพกระทิงดุไม่เสียประตู
จบช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาทียังทำอะไรไม่ได้ เสมอกัน 0-0 โมร็อกโก ต้องไปดวลจุดโทษกับ สเปน เพื่อหาทีมเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ซึ่งผลปรากฎว่า โมร็อกโก ยิงได้แม่นยำกว่า เอาชนะ สเปน 3-0 ชนิดที่ทีมกระทิงดุยิงไม่เข้าเลยซักคน ขณะที่ ยาสซีน บูนู กลายเป็นฮีโร่ของทีมหลังเซฟสองจุดโทษ พาทีมเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีม่สุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยรอพบผู้ชนะระหว่าง โปรตุเกส หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
โมร็อกโก (4-3-3) : ยาสซีน บูนู - อาชราฟ ฮาคิมี่, นาเยฟ อาเกิร์ด (จาวาด เอล ยามิก น.84), โรแม็ง ซาอิสส์, นุสแซร์ มาซราอุย (ยาห์ยา อัตติอัต-อัลลาห์ น.82) - อัซเซดีน อูนาฮี (บาดร์ เบอนูน น.120), โซฟียาน อัมราบัต, เซลิม อมาลลาห์ (วาลิด เชดดิร่า น.82) - ฮาคิม ซิเย็ค, ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ (อับเดลฮามิด ซาบิรี่ น.82), โซฟิยาน บูฟัล (อับเด เอราซซูรี่ น.66)
สเปน (4-3-3) : อูไน ซิม่อน - มาร์กอส ยอร์เรนเต้, โรดรี, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์, จอร์ดี้ อัลบา (อเลฮานโดร บัลเด้ น.98) - เปดรี้, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ปาโปล กาบี (การ์ลอส โซแลร์ น.63) - เฟร์ราน ตอร์เรส (นิโก้ วิลเลี่ยมส์ น.75) (ปาโบล ซาราเบีย น.118), มาร์โก อเซนซิโอ (อัลบาโร่ โมราต้า น.63), ดานี่ โอลโม่ (อันซู ฟาติ น.98)