แพ้จุดโทษแต่ชนะใจคนดู

แพ้จุดโทษแต่ชนะใจคนดู
"เพราะสามคนนั้นยิงกันไม่ดีหรือเพราะนายทวารโครเอเชียเดาทางถูกกันแน่?"

เป็นคำถามที่ผมคิดตลอดทางกลับบ้าน...

ก็ต้องก่ายหน้าผากวิเคราะห์การเลือกตัวไปสังหารของญี่ปุ่นซึ่งว่ากันตามตรงก็คัดสรรตัวที่ชัวร์สุดลงไปแล้วเริ่มจากรายแรกทากูมิ มินามิโนะ ผู้ที่ถือเป็นหนึ่งในคนที่มีประสบการณ์สูงสุดของทีม การที่ได้มาค้าสตั๊ดให้ทีมอย่างเร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก, ลิเวอร์พูล, เซาธ์แฮมป์ตันจนถึงปัจจุบันโมนาโกย่อมควรวางใจได้

คนต่อมาคาโอรู มิโตมะก็เช่นกันอยู่พรีเมียร์ลีกกับไบร์ทตัน เขาเองเคยเจอบรรยากาศเสียงเชียร์อื้ออึงอย่างแอนฟิลด์มาแล้ว ส่วนรายสุดท้ายมาย่า โยชิดะ ทั้งฐานะกัปตันทีมวัย34กับทั้งได้ตระเวนหากินในยุโรปมาเกินทศวรรษ

อืมมมม

เจอนิชิโนะ อดีตโ้ค้ชไทยในสนามด้วย

นั่นก็บ่งชี้ได้อีกครั้งว่าการเดินไปสังหารลูกโทษนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยว่าอายุเท่าไร่ เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแค่ไหน เอาว่านับจากอดีตมาก็มีตัวอย่างนักต่อนัก ต่อให้ซักซ้อมมาอย่างดีแล้วแต่พอเอาเข้าจริงก็อาจทำได้ไม่เหมือนตอนซ้อม

ทำไม??

ก็จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไรที่ตอนซ้อมเอาบอลไปตั้งจุดโดยไม่มีเสียงใดๆรบกวนเลย ไม่มีเสียงโห่บีบหัวใจ ไม่มีเสียงที่อาจดังขึ้นมาเองระหว่างสืบเท้าไปว่าเรากำลังแบกความหวังของคนทั้งชาติ

เหนืออื่นใดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่จากชื่อเสียงหรือดีกรีของนักเตะด้วย

เดวิด เบ็คแฮมเอง ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวเตะลูกนิ่งดีสุดของโลกในยุคหนึ่งก็เคยยิงโด่งไปถึงดาวอังคารในแมตช์กับตุรกี

ขณะที่เทพบุตรเปียทองคำ-โรแบร์โต้ บาจโจ้เคยพลาดอย่างไม่น่าเชื่อนัดชิงเวิล์ด คัพปี94     

"มันเหมือนการเสี่ยงหัวหรือก้อยแต่เป็นการเสี่ยงเหรียญที่มันเดิมพันด้วยชีวิตของคนหลายสิบล้าน ตอนที่เดินออกจากวงกลมกลางสนามเป็นการเดินที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยเดินมา"อลัน เชียเรอร์ อดีตหัวหอกหมายเลขหนึ่งของอังกฤษเคยพูดไว้

ตอนที่ผู้ตัดสินพ่นลมยาวทำสัญลักษณ์ว่าเกมต้องมาตัดสินด้วยการดวลลูกโทษก็เป็นเรื่องที่พอจินตนาการได้ถึงฉากตอนต่อไปในอีกไม่กี่นาทีจากนั้น

 ฟุตบอลมันตลกร้ายเสมอ

ทีมที่เล่นได้น่าประทับใจกว่ามักต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถึงอาจไม่ใช่ทุกครั้งแต่ให้ไปย้อนดูได้เลยว่ามันต้องลงเอยเช่นนั้นซะส่วนใหญ่ ยิ่งพอกางสถิติเก่าๆมาด้วยแล้วก็ทำให้ยอมรับว่าแอบทำใจล่วงหน้าว่าคงได้เห็นเสียงสะอื้นไห้จากพวกซามูไรเป็นแน่

โครเอเชียมีผลงาน100%ในการยิงเป้าฟุตบอลโลก อีกจุดที่น่าสนใจก็ตรงการเปลี่ยนเอาลูก้า โมดริชกับมาเตโอ โควาซิชออกในช่วงต่อเวลาซึ่งเท่ากับทางซลัตโก้ ดาลิช กุนซือทีมหมากรุกได้วางแผนไว้ก่อนแล้วว่าจะทำอย่างไร

ตามปกติโมดริชกับโควาซิชย่อมเป็นชอยส์หนึ่งกับสองของทีม

บางหน้าของหนังสือ'Twelve Yards'ซึ่งเนื้อหาอธิบายถึงศาสตร์กับศิลป์ของจุดโทษได้เขียนไว้ว่า"ร่างกายของนักเตะบางคนที่ในเกมใช้พลังงานไปจนหมด บางคนก็โดนทำฟาวล์หนักๆตลอดพอมาถึงการยิงจุดโทษนั้นก็ทำให้สมดุลของร่างกายไม่เหมือนเดิม บางคนเลยเลือกยิงเต็มแรงไว้ก่อนเพื่อให้มั่นใจที่สุด"

อย่างไรก็ตามก็ต้องให้เครดิตโดมินิค ลิวาโควิช โกลทีมหมากรุกด้วยเพราะลองเดาไม่ถูกทางก็ไม่มีทางป้องกันได้ จากรูปร่างสูงโปร่งรวมกับฟอร์มที่เข้าตาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มก็อย่าประหลาดใจเลยว่าในอนาคตอันใกล้เราจะได้ยินข่าวมีทีมจากลีกชั้นนำซื้อตัวเขาไปจากดินาโม ซาเกร็บ

ญี่ปุ่นทำได้ดีมากแล้วครับ เพียงแต่บ่อยหนที่เจ้าลูกกลมๆก็วางพล็อตเรื่องให้รู้สึกว่าโหดร้าย นับแต่เกมแรกกับเยอรมันมาถึงเมื่อวันจันทร์ก็พูดได้เลยว่านี่คือเกมที่เหล่าขุนพลจากแดนอาทิตย์อุทัยเล่นได้ยอดเยี่ยมที่สุด

ตามเชิงพวกเขาควรตั้งรับให้ลึกแล้วรอสวนกลับใช่ไหม?

นี่พอเขี่ยบอลเท่านั้นก็เป็นชาติจากเอเชียที่ไล่ขย่มยุโรปซึ่งมีศักดิ์ศรีถึงรองแชมป์คราวที่แล้วด้วย มันมีนักข่าวอินเดียข้างๆหันมาคุยกับผม"ญี่ปุ่นต่อบอลเหมือนบาร์เซโลน่าเลย"

ใครได้ดูเกมก็คงมองเห็นตรงกัน มีบ้างที่เปิดบอลยาวไปตรงพื้นที่ว่างให้ตัวรุกวิ่งไปเอาเพื่อฉีกแนวรับโครเอเชียออกมาทว่าโดยรวมแล้วก็เน้นการถ่ายบอลสั้นทั่วสนาม ทั้งเทคนิค, ความเข้าใจเกมกับทีมเวิร์กจึงทำให้ครึ่งแรกนั้นดูไม่ออกเลยว่าใครกันแน่ที่เป็นต่อ

ต้องชื่นชมแท็กติกที่ฮาจิเมะ โมริยาซึวาง เขาเลือกใช้ระบบ3-4-3โดยจุดหลักอยู่ตรงมิดฟิลด์ตัวกลางสองคน อย่างยิ่งวาตารุ เอ็นโดะที่ไล่ตามบี้จนโมดริชแทบทำอะไรไม่เป็นเลย ตลอดเกมมีเพียงช็อตตะบันไกลในครึ่งหลังเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกว่าค่อยสมราคาซูเปอร์สตาร์ผู้เคยได้รางวัลบัลลังดอร์

สังเกตถึงการเปลี่ยนตัวของญี่ปุ่นก็ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการเอาชนะให้ได้ในเกมปกติ มีการขยับเร็วและก็เลือกตัวรุกลงไปครบครัน 

ภาษามวยก็"แลกหมัดต่อหมัดให้รู้แล้วรู้รอดกันไป"

ก็ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นทั้งชาติด้วย

เชื่อเลยว่ามีจากอีกหลายประเทศที่ก็ช่วยให้กำลังใจพวกเขา อย่างในอัล จานูบ สเตเดี้ยมพวกแฟนบอลชาติอื่นๆก็ส่งเสียงเชียร์พวกเขาออกหน้า บางคนถึงขั้นปรบมือตามจังหวะเพลงพอกลุ่มอัลตร้าที่รวมตัวสแตนด์หลังประตูร้องออกมา

หลายคนจึงออกอาการเสียดายกับผิดหวังพลันที่กลุ่มผู้เล่นโครแอตวิ่งกรูไปฉลองชัยชนะ ตัดภาพไปใกล้ๆก็มีนักเตะเลือดบูชิโดที่ทรุดไปกองกับพื้นบ้าง บางคนเอามือปิดหน้าเพื่อไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังร้องไห้บ้าง ผมถึงบอกว่ามันควรเสียใจอยู่แล้วแต่บางทีสิ่งที่ซ่อนในความเจ็บปวดก็มีความงดงามเช่นกัน

ญี่ปุ่นอาจจารึกประวัติศาสตร์ไม่สำเร็จ พวกเขาคงมาไกลสุดเพียงรอบ16ทีมในศึกฟุตบอลโลกแต่ใครเล่าจะอยากต่อว่า ใครกันจะหาญกล้าตำหนิ 

จบเกมไปสักพักโมริยาซึก็เรียกทุกคนรวมถึงทีมสตาฟฟ์มาล้อมวงบริเวณกลางสนามเพื่อให้โอวาทเป็นหนสุดท้าย"ต่อให้เราจะข้ามผ่านไปสู่อีกมิติไม่ได้(รอบแปดทีม)แต่เราต้องเอาความผิดหวังนี้แปรสภาพเป็นแรงขับเพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า"

ดีใจด้วยกับคนญี่ปุ่นที่มีโค้ชเข้าใจวิถีของชีวิตอย่างนี้

ไม่มีใครผู้ชนะคนไหนหรอกไม่เคยแพ้มาก่อน

เช่นกันไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จโดยไม่เคยลิ้มรสความล้มเหลว

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport
X