"รองแชมป์โลก" โครเอเชีย โชว์ความแม่นเป้าให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้งเมื่อกำราบ ญี่ปุ่น ได้สำเร็จ 3-1 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 ในเกม ฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธ.ค.
แม้จะร่วงตกรอบไม่อาจสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบแปดทีมได้สำเร็จ แต่สำหรับเกมนี้ต้องบอกว่าทีมเมืองปลาดิบร่ายเพลงเตะได้ดีที่สุดในการลงบู๊ที่ กาตาร์ เลยก็ว่าได้เนื่องจากรวมเวลา 120 นาที พวกเขามีสถิติเป็นรองทีมตาหมากรุกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่างไปจากเกมพลิกชนะทั้ง เยอรมัน และ สเปน ลิบลับ
1.ซามูไร ปรับโผตัวจริงสามราย
กุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสุ หนีไม่พ้นต้องปรับกระบวนทัพลงเล่นรอบน็อคเอาต์เนื่องจาก โคอุ อิตาคูระ ติดโทษแบน ทำให้ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ แบ็คขวา อาร์เซน่อล ที่ฟิตสมบูรณ์แล้วได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงใน ฟุตบอลโลก งวดนี้เป็นเกมแรก และต้องตามประกบ อีวาน ราคิติช ปีกซ้ายทีม สเปอร์ส หลังเจ้าตัวได้ลงสนามเป็นตัวสำรองในรอบแบ่งกลุ่มสองนัด
สำหรับอีกสองราย วาตารุ เอ็นโดะ กับ ริทสึ โดอัน ถูกเลือกลงสนามก่อนหน้า อาโอะ ทานากะ กับ มาเคฟูสะ คุโบะ
2.โครแอต งัดเก๋าสู้
ด้านกุนซือ ซลัตโก้ ดาลิช ปรับทีมสู้ศึกนัดนี้สองตำแหน่งจากเกมเสมอกับ เบลเยี่ยม 0-0 ในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย และทำให้ทีมตาหมากรุกมีทีม 11 ตัวจริงอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองของชาติในศึก ฟุตบอลโลก ด้วยอายุเฉลี่ย 29 ปี 330 วัน เป็นรองแค่ทีมที่ชนะ ฮอลแลนด์ 2-1 ในเกมชิงอันดับสาม ฟุตบอลโลก ปี 1998 ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 30 ปี 126 วัน
ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วย บอร์น่า บาราซิช แบ็คขวาทีม เรนเจอร์ส กับตัวรุก บรูโน่ เพ็ตโควิช ที่ได้ลงสนามแทน บอร์น่า โซซ่า กับ มาร์โก ลิวาย่า ซึ่งไม่ฟิตเต็มร้อย
3.ครึ่งแรก ญี่ปุ่น ช็อกโลกอีก
หลังจากสร้างวีรกรรมเอาชนะทั้ง เยอรมัน และ สเปน สองทีมยักษ์ของยุโรปได้อย่างเหลือเชื่อในเกมรอบแบ่งกลุ่ม ทีมลูกพระอาทิตย์ก็ก่อเรื่องเซอร์ไพรส์อีกหนจนได้เมื่อเป็นฝ่ายนำหน้า โครเอเชีย 1-0 จากฝีเท้าของ ไดเซน มาเอดะ พ่อค้าแข้งทีม เซลติก ซึ่งสอยตาข่ายได้สำเร็จในนาทีที่ 43
เท่ากับว่าทีมเมืองปลาดิบออกนำคู่แข่งได้ก่อนในครึ่งแรกเป็นเกมแรกใน ฟุตบอลโลก หนนี้ซึ่งเกื้อหนุนให้พวกเขามีโอกาสผ่านเข้ารอบแปดทีมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัยจากผลงานของสตาร์วัย 25 ปีซึ่งเล่นได้อย่างโดดเด่นใน 45นาทีแรกจากสถิติดังนี้
100% เข้าปะทะสำเร็จ
31 สัมผัสบอล
5/6 ชนะการดวล
2 เข้าปะทะ
1 สกัดบอล
1 สับไก
ขณะเดียวกัน มาเอดะ ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลทีม ม้าลายเขียวขาว รายที่สองที่ยิงประตูให้ ญี่ปุ่น ในเกม ฟุตบอลโลก ได้ต่อจาก ชุนสุเกะ นากามูระ เมื่อปี 2006
สำหรับผลงานของทั้งสองทีมในครึ่งแรก ต้องบอกว่าสูสีกันมากอย่างไม่น่าเชื่อเนื่องจากแม้ รองแชมป์โลก จะครองบอลได้มากกว่า 59:41% แต่ทั้งสองทีมมีโอกาสสับไก และส่งบอลเข้ากรอบเท่ากันพอดีเป๊ะ (ยิง 3 เข้ากรอบ 1) แต่เป็น ญี่ปุ่น ที่ได้เฮฮา
4.ครึ่งหลัง ตาหมากรุก บอมบ์ใส่
เข้าครึ่งหลัง รองแชมป์โลก อาศัยความสูงใหญ่กว่าโจมตีใส่ ญี่ปุ่น ด้วยภาคเวหา และในเวลา 10 นาทีก็เป็นผลเมื่อ เปริซิช โขกลูกโยนยาวจากกราบขวาตุงตาข่ายเปลี่ยนสกอร์เป็น 1-1 ได้สำเร็จ
ถึงตรงนี้ ดาวเตะทีม สเปอร์ส จึงสร้างผลงานยิงประตูใน ฟุตบอลโลก เป็นลูกที่ 6 สูงสุดของชาติเท่ากับ ดาวอร์ ซูเคอร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่หากจะนับรวมสองรายการใหญ่ (ฟุตบอลยูโร) เปริซิช คลำเป้าได้ 10 ประตูแล้วซึ่งเหนือกว่า ซูเคอร์ อดีตหัวหอกชื่อดังหนึ่งประตู
ถึงกระนั้น หากรวมทุกเกมของทีมชาติ เปริซิช ยังรั้งดาวซัลโวสูงสุดอันดับสองรองจาก ซูเคอร์ 45:33 ประตู เท่ากับ มาริโอ มานด์ซูคิช ซึ่งยิงได้ 33 ประตูเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ประตูตีเสมอ ญี่ปุ่น ของ เปริซิช ต้องถือว่ามาได้ถูกเวลาพอดีเนื่องจากมันเป็นประตูแรกของเขาจาก 28 นัดหลังกับทั้งทีมชาติ และสโมสรเนื่องจากหนสุดท้ายที่เขาส่งบอลสัมผัสตาข่ายได้ต้องย้อนไปถึงเกมปิดซีซั่น เซเรียอา กับ อินเตอร์ มิลาน เลยทีเดียว (เฝ้าบ้านขยี้ ซามพ์โดเรีย 3-0)
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นับตั้งแต่ที่เขาประเดิมลงสนามให้ทีมชาติในรายการใหญ่ปี 2012 เปริซิช เป็นรองแค่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คนเดียวเท่านั้นในแง่ของการมีส่วนกับประตูสำหรับนักเตะชาวยุโรปด้วยกันโดยเขามีส่วนร่วมกับ 17 ประตู (ยิง 10 แอสซิสต์ 7) ขณะที่ศูนย์หน้าทีมชาติ โปรตุเกส มีผลงาน 21 ประตู (ยิง 17 แอสซิสต์ 4)
5.ลิวาโควิช เดอะ ฮีโร่
หลังเสมอกัน 1-1 ในเวลาปกติ โครเอเชีย ก็เคี้ยว ญี่ปุ่น ไม่ลงในช่วงต่อเวลาพิเศษซึ่งต้องอาศัยการดวลลูกโทษตัดสินเป็นคู่แรกของทัวร์นาเมนต์
รวมแล้วตลอด 120 นาที ทีมตาหมากรุกครองบอลเหนือกว่า 58:42% ได้ง้างยิงมากกว่า 17:13 ครั้ง แต่ทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบได้เท่ากัน 4 ครั้ง และต้องดวลความแม่นเป้าเพื่อหาผู้ชนะผ่านเข้ารอบแปดทีมซึ่งแน่นอนว่างานนี้ขุนพลสัญชาติ โครแอต มีประสบการณ์ที่ช่ำชองกว่า
และในที่สุด ทีมที่มีภาษีเหนือกว่าก็ปิดจ็อบได้ตามความคาดหมายโดยมีนายทวาร โดมินิค ลิวาโควิช โชว์ฝีมือเซฟได้สามหน เริ่มตั้งแต่เพฌฆาตมือหนึ่งอย่าง ทาคูมิ มินามิโนะ ซึ่งลงเล่นเป็นตัวสำรอง
จากความสุดยอดดังกล่าว ทำให้ ลิวาโควิช เป็นนายทวารรายที่สามที่เซฟลูกโทษได้สามหนในเกม ฟุตบอลโลก นัดเดียวกันเช่นเดียวกับ ริคาร์โด้ ของ โปรตุเกส นัดฟัดกับ อังกฤษ ในปี 2006 และ ดานิเยล ซูบาซิช ของ โครเอเชีย เช่นกันในเกมบู๊กับ เดนมาร์ค ปี 2018
ขณะเดียวกัน มันทำให้ โครเอเชีย มีผลงานชนะในการดวลลูกโทษของศึก ฟุตบอลโลก 100% ด้วยจากทั้งหมดสามครั้งโดยสองครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาเอาชนะ เดนมาร์ค กับ รัสเซีย ได้ในรอบ 16 ทีม และรอบแปดทีมของปี 2018
สำหรับ ญี่ปุ่น ต้องไปซ้อมยิงลูกโทษกันใหม่หลังเคยพ่ายต่อ ปารากวัย มาแล้วหนึ่งครั้งในปี 2010