แม้ทีมตัวเองจะเพิ่งชนะได้งดงามเข้าไปรอในรอบแปดทีมเป็นชาติแรกก็คงพบแต่ใบหน้าราบเรียบที่มีสัญญาณตอบรับแค่การโบกมือทักทายแฟนบอลตัวเองตรงมุมประตูของอีกฝั่ง
ก็คงไม่มีโค้ชคนไหนอีกแล้วที่เหมือนเขา-หลุยส์ ฟาน กัล
ย้อนไประหว่างที่เวิล์ด คัพปี2014กำลังเข้มข้น ในเพรส คอนเฟอเรนซ์ที่มีนักข่าวจากบีบีซีชูมือขึ้นมา"ฮัลโหลหลุยส์ ผมจากบีบีซี อยากถามที่ไม่เกี่ยวกับเนเธอร์แลนด์เรื่องของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณรู้จักพวกเขาดีแค่ไหน?"
ถูกต้อง คงจำกันได้ตอนนั้นเกิดกระแสรุนแรงว่าฟาน กัลเตรียมเข้าคุมสโมสรตราอสูรซึ่งต่อให้ยังไม่มีการประกาศทางการแต่ก็แค่รอเวลาว่าเมื่อไหร่
"ผมคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลยที่จะมาคุยตอนนี้..."คำตอบที่ออกจากโมโครโฟนทำเอาหลายคนในนั้นตะลึงตามกัน
อย่างไรก็ตามใครที่ตามดูรอยย่ำของเขาก็จะทราบว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรประหลาดใจเลยโดยสมัยที่สร้างชื่อกับอาแจ็กซ์ยุค90ก็เคยโต้ตอบกับนักข่าวท้องถิ่นมาแล้วด้วยประโยคคลาสสิคตลอดกาล"เพราะผมฉลาดหรือว่าเพราะคุณโง่กันแน่?"
ฟาน กัลก็คือฟาน กัลครับ ไม่ใช่คนโรแมนติคประเภทต้องแล่เนื้อสเต๊กใต้แสงเทียน เขาเองก็เป็นคนชัดเจนมีความตรงไปตรงมาที่บางทีก็มีแฝงอารมณ์ขันเอาไว้
"สหรัฐฯไม่รู้จักยืดหยุ่น พวกเขาไม่ปรับตัวให้กับเกมแต่นั่นแหละคุณก็รู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีทำให้ผมได้โอกาสมาเจอพวกคุณต่อ"บางคำพูดภายหลังเอาชนะอเมริกา3-1ด้วยชั้นเชิงที่แพรวพราวกว่า
เนเธอร์แลนด์ในชื่อทางการหรือว่าฮอลแลนด์ที่เราเรียกติดปากมีโอกาสจะไปได้ไกลในบอลโลกหนนี้ถึงด่านต่อไปรอบแปดทีมต้องเจออาร์เจนติน่าก็ตาม
ถ้าจะให้ชักแม่น้ำทั้งห้าว่าเพราะอะไรถึงเชื่อเช่นนั้น?
สั้นๆสองพยางค์เลย-ฟาน กัล
เกมกับอเมริกาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าแท็กติกสำคัญแค่ไหนในเกมลูกหนัง พวกเขาปล่อยให้ขุนพลแยงกี้โหมบุกเข้าใส่ตั้งแต่นาทีแรกซึ่งว่าไปก็ผิดธรรมชาติของทีมที่ดูเป็นต่อก่อนลงสนาม มองไปตรงซุ้มสำรองก็มีรอยยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์จากชายวัย71
ขุดหลุมล่อให้อีกฝ่ายมาติด จากนั้นหาจังหวะลงโทษสอนให้รู้ว่าวิธีการกำราบทีมที่กำลังห้าวต้องทำอย่างไร
สหรัฐฯของเกร็ก เบอร์ฮัลเตอร์ชุดนี้เต็มไปด้วยวัยรุ่นทั้งนั้น จาก11ตัวจริงก็มีแค่กองหลังทิม เรียมคนเดียวที่เลยเลขสามไป อย่างกัปตันทีม-ไทเลอร์ อดัมส์ก็เพิ่ง23เท่านั้น
ตอนฟังฟาน กัลให้สัมภาษณ์"พวกเขาไม่รู้จักยืดหยุ่น"ก็นึกไปถึงเกมก็เห็นภาพชัดขึ้นทันที เป็นเกมที่ทีมอัศวินสีส้มครองบอลน้อยกว่า(35%) ผ่านบอลน้อยกว่า(404ครั้ง ส่วนอเมริกา572ครั้ง)แต่อีกนั่นแหละท้ายที่สุดเราต่างสะท้านมาแต่ไหนแต่ไรว่าฟุตบอลตัดสินที่ประตู
ขณะเดียวกันสามลูกที่เนเธอร์แลนด์ทำได้ก็ยังเป็นสามลูกที่ถือว่าเป็นเครื่องหมายการค้าเลยของกลยุทธที่ต้องผ่านการซักซ้อมมาอย่างหนัก ประตูแรก-จะเรียกว่าโททั่ลฟุตบอลก็ไม่ผิด มีการผ่านบอลไปมารวมถึง20จังหวะก่อนเมมฟิส เดอปายส่งบอลไปจบที่ก้นตาข่าย ขณะที่ประตูสองกับสามนั้นคล้ายกัน จะต่างก็แค่จากวิงแบ็กขวาเปิดให้วิงแบ็กซ้ายปิดสกอร์มาเป็นวิงแบ็กซ้ายโยนให้วิงแบ็กขวายิงบ้าง
ทั้งหมดไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน
สังเกตต่อมาก็พบว่าพอดาลี่ย์ บลินด์กดตูมเดียวหายช่วงทดเจ็บครึ่งแรกให้ทีมหนี2-0นั้นก็สับฝีเท้าวิ่งไปหาแดนนี่ บลินด์ซึ่งเป็นสตาฟฟ์โค้ช นี่คือซีนที่ช่างซาบซึ้งเมื่อพ่อกับลูกสวมกอดกันท่ามกลางเสียงโชโยของกองเชียร์สีส้มกับกลุ่มเพื่อนร่วมทีมตัวจริงกับสำรองที่ร่วมตามมาฉลอง
น่าแปลกที่ต่อให้พาทีมเข้ารอบแปดทีมสำเร็จทว่าฟาน กัลก็ยังไม่ได้เครดิตตามที่เขาควรได้
อย่างมาร์โก แวน บาสเท่น อดีตกองหน้าชั้นตำนานไปออกรายการทีวี"มันยอดเยี่ยมที่ได้เข้ารอบ ผมเองก็คงมีความสุขถ้าทีมชุดนี้ไปถึงแชมป์แต่ผมก็ไม่รู้จะทนดูทีมชุดนี้เล่นแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน"
จริงแล้วก็มีส่วนถูกบ้างตรงที่นี่คือชาติที่ยุคไหนสมัยใดก็มักนำเสนอความสวยงามของฟุตบอล ก็ไม่ผิดที่จะมีคนรู้สึกขัดแย้งกับสไตล์ของทีมที่กระทั่งอเมริกาก็ยังต้องมาเน้นเกมป้องกันไว้ก่อน ถึงกระนั้นภาพของมุมกว้างหรือมุมแคบก็ตามอยากให้เข้าใจว่านี่ไม่ใช่ทีมกังหันสีส้มที่สะพรั่งด้วยสตาร์เฉกชุดสามทหารเสือ(แวน บาสเท่น, กุลลิท, ไรจ์การ์ด)หรือว่าเจเนเรชั่นต่อๆมาที่ให้ไล่รายชื่อก็ได้เป็นสิบๆราย
ดาวเด่นที่สุดของชุดปัจจุบันได้แก่เวอร์จิล ฟาน ไดค์ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ
นอกจากนั้นก็อยู่ในข่ายอนาคตไกลเช่นคอดี้ กั๊กโปที่คาดว่าคงย้ายมาค้าสตั๊ดในเวทีพรีเมียร์ลีกเร็วๆนี้กับอีกกลุ่มก็พวกที่มีเส้นทางอาชีพตะกุกตะกักยังขึ้นไม่สุด
เดอ ปายเคยล้มเหลวกับแมนฯยูไนเต็ด
ดาวี่ คลาสเซ่นที่ได้ออกสตาร์ทเมื่อวันศุกร์ด้วยก็เคยไปไม่เป็นกับเอฟเวอร์ตันภายใต้ราคาค่าตัว23.6ล้านปอนด์
มาร์เท่น เดอ รูน น้อยคนนักจะจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมามิดเดิ้ลสโบร์ชแต่ก็อยู่ได้แค่ซีซั่นเดียว ปัจจุบันเป็นตัวหลักให้อตาลันต้าในอิตาลี
หรือกองเชียร์เบิร์นลี่ย์เองก็คงยากลืมวูท เวกฮอร์สท์ ตัวสำรองที่ได้โอกาสแทนกั๊กโปในนาที93ของเกม ซีซั่นที่แล้วเคยถูกดึงไปแทนคริส วู้ดก่อนที่ท้ายที่สุดก็หล่นไปอยู่ข้างสนามในช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมตกชั้นไปแชมเปี้ยนชิพ
ทีมชุดนี้ที่แวน บาสเท่นออกมาวิจารณ์ก็มีแค่ 11 จาก 26 คนเท่านั้นรับใช้ต้นสังกัดจากห้าลีกชั้นนำยุโรป อย่างพรีเมียร์ลีกก็มีแค่สามรายเท่านั้นนอกจากฟาน ไดค์ก็นาธาน อาเก้(แมนฯซิตี้)กับไทเรลล์ มาลาเซีย(แมนฯยูไนเต็ด)
เรื่องของคุณภาพย่อมสำคัญที่นำไปสู่ศักยภาพ
การรู้จักเลือกใช้ทรัพยากรให้เหมาะสมก็จำเป็นในการรีดความสามารถของแต่ละคนให้กลายเป็นจุดแข็งของทีมซึ่งผมคิดว่าฟาน กัลทำได้ดีในข้อนี้
เป๊ป กวาร์ดิโอล่าก็ไม่มีทางจะเป็นยอดกุนซือผู้เนรมิตฟุตบอลที่หาคนลอกเลียนแบบไม่ได้ลองว่าเขาเองมีข้อจำกัดในเรื่องนักเตะ
ก็เข้าใจธรรมชาติของคนในประเทศที่ภูมิใจเรียกตัวเองว่าดัตช์
สัปดาห์ก่อนมีสื่อท้องถิ่นโจมตีฟาน กัลอยู่เลยว่าดูทีมเล่นทีไรก็ต้องกัดฟันดูตามไป กระนั้นบางคนอาจหลงลืมไปว่านี่คือยุคตกต่ำของวงการบอลฮอลแลนด์ ดูได้จากชื่อนักเตะ มองกลับไปก็ได้ว่ารอบทศวรรษมานี้พวกเขาตกรอบคัดเลือกมาแล้วกี่รายการ
ผลงานยอดเยี่ยมสุดช่วงเวลาเดียวกันก็เวิล์ด คัพฉบับบราซิลโดยจบอันดับสาม ก็ต้องย้อนถามต่อว่าชุดนั้นใครเป็นโค้ช?
อันเดรียส นอปเปิร์ต นายทวารวัย28ของทีมที่เป็นตัวจริงมาตลอดทัวร์นาเมนต์นี้ก็มีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจ เคยผ่านการเฝ้าเสาระดับอาชีพมาราว40เกมเท่านั้นรวมถึงไม่เคยได้หมวกทีมชาติสักใบก่อนบินมากาตาร์
รู้ไหมครับว่าอาชีพเดิมของเขาคืออะไร???
คำตอบ : ตำรวจ
"ในฟุตบอลถ้าเราไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยจุดแข็งของเรา ก็ต้องหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้เจอ จู่โจมตรงจุดนั้นแล้วเราจะมีโอกาส"อีกประโยคที่ฟาน กัลเคยกล่าวไว้
ด่านต่อไปวันศุกร์ที่9นี้...ลิโอเนล เมสซี่กับกองกำลังพลังฟ้าขาว
"ผมคิดว่าเรามีโอกาส พวกเรายังเหลืออีกสามเกมให้สู้ ผมพูดถึงเรื่องนี้มาตลอดว่าเรามีโอกาสจะเป็นแชมป์โลกได้ ผมไม่ได้บอกว่าเราจะทำได้แค่เรามีโอกาสทำได้ เราจะต้องเป็นทีมที่ทำให้คู่แข่งรู้สึกยากที่สุดที่จะเอาชนะ"
ใบหน้าขณะพูดคงนิ่งเหมือนเดิม
แววตาต่างหากที่ส่องประกายออกมาจากชายที่ยอมสูญเสียเวลาบั้นปลายชีวิตควรได้พักมาแบกรับแรงกดดันเพื่อประเทศชาติ
"ไก่ป่า"