ช็อกโลกอีกจนได้เมื่อทีมชาติ ญี่ปุ่น แผลงฤทธิ์เป็นเกมที่สองใน ฟุตบอลโลก 2022 ด้วยการสยบ สเปน 2-1 แม้จะโดนสอยตาข่ายก่อนในการฟาดแข้งนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มในกลุ่ม อี ที่สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธ.ค.
จากชัยชนะที่มีเหนือทีม กระทิงดุ ทำให้ ซามูไร บลูส์ ทะยานเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มโดยที่ สเปน เดินตามก้นเข้าไปเล่นต่อในรอบ 16 ทีมเช่นกัน แต่งานนี้พลพรรค เมด อิน เจแปน จะเจองานหนักอีกเช่นเคยด้วยการฟัดกับ โครเอเชีย ขณะที่ สเปน จะบู๊กับ โมร็อคโก ซึ่งทั้งสองคู่จะหวดกันในวันอังคารนี้
1.กระทิงดุ สลับทัพห้าตำแหน่ง
หลุยส์ เอ็นรีเก้ นายใหญ่ทีมชาติ สเปน สลับตัวนักเตะจากเกมเสมอกับ เยอรมัน 1-1 มากถึงห้าตำแหน่งโดยพวกเขาต้องการผลเสมอเป็นอย่างน้อยต่อการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
ในจำนวนนี้ เซซาร์ อัซปิลกวยต้า , เปา ตอร์เรส และ อเลฆานโดร บัลเด้ ได้ลงเล่นในแผงหลังแทนที่ เอมเมอริค ลาปอร์กต์ , ดานี่ การ์บาฆาล และ จอร์ดี้ อัลบ้า
ส่วนอีกสองรายในแผงรุกเป็นโอกาสของ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ กับ อัลบาโร่ โมราต้า ที่ได้เล่นแทน เฟร์รัน ตอร์เรส กับ มาร์โก อเซนซิโอ ซึ่งเท่ากับว่า กาบี้ ที่ไม่สมบูรณ์เต็มร้อยลงได้ลงสนามเป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ โรดรี้ มิดฟิลด์ทีม แมนฯ ซิตี้ ที่เจ็บเล็กน้อย และยังถูกส่งลงบู๊ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเหมือนเดิม ขณะที่ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ก็ไม่ถูกเก็บตัวเอาไว้ทั้งๆที่จะติดโทษแบนเกมหน้าหากได้ใบเหลืองเพิ่ม
ถึงกระนั้น บุสเก็ตส์ ก็เพิ่มสถิติลงเล่นในเกม ฟุตบอลโลก เป็นนัดที่ 16 แล้วซึ่งเท่ากับ อันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า และเป็นรองแค่ อีเกร์ กาซิยาส กับ เซร์คิโอ รามอส เท่านั้นจากการลงสนาม 17 นัด
ต่อการจัดทัพดังกล่าว ทำให้ สเปน มีทีมอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยลงเล่น ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ทีมพลังหนุ่มของพวกเขาลงบู๊ในปี 2006 นัดพ่ายต่อ ฝรั่งเศส 3-1 กระเด็นตกรอบ 16 ทีม
2.ซามูไร สู้ตายเปลี่ยนห้าแข้งเช่นกัน
ด้านทีมชาติ ญี่ปุ่น ของกุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ยังมีลุ้นเข้ารอบหากสร้างชื่อเอาชนะ สเปน ได้เหมือนเกมออกสตาร์ตทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขาช็อกโลกด้วยการพลิกแซงชนะ เยอรมัน 2-1
สำหรับเกมนี้ ทีมเมืองปลาดิบเลือกใช้บริการของ โชโกะ ทานิงูจิ ,ทาเคฟุสะ คุโบะ ,จุนยะ อิโตะ ,อาโอะ ทานากะ และไดเซน มาเอดะ ก่อนหน้า มิกิ ยามาเนะ ,วาตารุ เอ็นโดะ ,ริทสึ โดอัน , ยูกิ โซมะ และ อายาเซะ อูเอดะ ในโผ 11 คนแรก
ฉะนั้นแล้ว ดาวเตะอย่าง ทาคูมะ อาซาโนะ ,คาโอรุ มิโตมะ ,ทาคูมิ มินามิโนะ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ จึงนั่งเป็นตัวสำรองเช่นเดิม
3.เข้าที่สองจะดีกว่ามั้ย?
บางทีมันก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากเนื่องจากเกมในกลุ่ม อี กับ เอฟ ลงสนามคนละเวลา
และอย่างที่เห็นกันว่าหลังจบนัดที่สามของกลุ่ม เอฟ ซึ่งลงเล่นกันก่อนหน้า โมร็อคโก หักปากกาเซียนคว้าแชมป์กลุ่มได้สำเร็จจากการเก็บได้ 7 แต้ม และไม่แพ้ใครโดยมี โครเอเชีย รองแชมป์เก่าตามหลังเข้ามากับการเก็บได้ 5 แต้มจากผลลัพธ์ชนะ 1 เสมอ 2 ซึ่งทำให้ เบลเยี่ยม ทีมระดับหัวแถวกระเด็นตกรอบอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเป็นซะอย่างนี้ ทีมอันดับหนึ่งของกลุ่ม อี จะต้องบู๊กับ โครเอเชีย ซึ่งถูกมองว่าน่าจะเป็นงานหนักกว่าทีมรองแชมป์กลุ่ม อี ที่จะได้บู๊กับ โมร็อคโก ซะอีก
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมันเลือกไม่ได้ ทุกทีมก็ต้องกำชัยเอาไว้ก่อน ส่วนจะต้องเจอกับทีมไหนในรอบต่อไปก็สุดแต่บุญแต่กรรมเท่านั้น
และจากความเป็นจริงของทั้งสองในของกลุ่ม อี ปรากฏว่าสถานการณ์พลิกไปพลิกมาหลายตลบจนถึงหยดสุดท้ายชนิดที่ทุกทีมมีโอกาสเข้ารอบ และตกรอบไม่แพ้กัน ฉะนั้นแล้วการกำชัยเอาไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด
4.โมราต้า ซ่าต่อเนื่อง
สร้างชื่อจนได้สำหรับ อัลบาโร่ โมราต้า เมื่อโขกพังประตูพา สเปน ออกนำ ญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นเกมซึ่งทำให้เขาเป็นดาวเตะ กระทิงดุ รายที่สองที่สอยตาข่ายได้ตลอดสามเกมแรกของ ฟุตบอลโลก ต่อจาก เตลโม ซาร์ร่า ที่สร้างผลงานเอาไว้ในปี 1950
แม้เกมแรกเขาจะลงเล่นเป็นตัวสำรองช่วงครึ่งหลังแทน เฟร์รัน ตอร์เรส แต่หัวหอกทีม แอตเลติโก มาดริด ซัดประตูปิดท้ายในช่วงทดเวลาให้ สเปน ถล่ม คอสตาริกา 7-0
จากนั้นในเกมเสมอกับ เยอรมัน 1-1 โมราต้า ก็ลุกจากม้านั่งสำรองไปเสียบแทน ตอร์เรส ช่วงครึ่งหลังเช่นกัน และเป็นคนทำประตูให้ทีมนำหน้าได้ กระทั่งนัดฟัดกับทีมชาติ ญี่ปุ่น เขาได้รับภาระให้ลงสนามเป็นตัวจริง และไม่ทำให้ เอ็นรีเก้ ผิดหวังอีกเช่นเคย
พร้อมกันนี้ โมราต้า ยังเพิ่มสถิติในทีมชาติเป็น 30 ประตูจาก 60 นัดด้วย และเป็นการยิงประตูที่ 9 ในศึก ฟุตบอลโลก รวมกับศึก ฟุตบอลยูโร ของเขานับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งไม่มีดาวเตะทีมชาติ สเปน คนไหนทำได้เทียบเท่า แถมเจ้าตัวยังได้ลุ้นคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด ฟุตบอลโลก งวดนี้เช่นกันจากการคลำเป้าได้ 3 เม็ดเท่ากับ เอ็นเนร์ วาเลนเซีย , คิลิยัน เอ็มบัปเป้ , โคดี้ กัคโป และ มาร์คัส แรชฟอร์ด
5.ปลาดิบ ไว้ลายอีกจนได้
แม้ครึ่งแรกจะเป็นรอง สเปน แบบเทียบไม่ได้ทั้งเปอร์เซนต์การครองบอล 83:17% และจังหวะส่องยิง 5:2 ครั้ง (สเปน เข้ากรอบ 3 ครั้ง ญี่ปุ่น ไม่เข้ากรอบ) แถมต่อบอลด้อยกว่าอีกโดยทีม กระทิงดุ ผ่านบอลสำเร็จ 530 ครั้ง ขณะที่ทีม เมืองปลาดิบ ทำได้ 89 แต่มันไม่สำคัญเลยในเมื่อทีมยักษ์จาก เอเชีย เป็นรองแค่ประตูเดียว และยังมีหวังพลิกสถานการณ์
จนกระทั่ง ริทสึ โดอัน ตัวสำรองของ ญี่ปุ่น ทำแสบเหมือนเกมที่เขาลุกจากม้านั่งลงไปซัดประตูตีเสมอนัดชนะ เยอรมัน 2-1 ได้อีกครั้งโดยเกมนี้กองหน้าทีม ไฟร์บวร์ก ใช้เวลาเพียงสามนาทีก็สอยตาข่ายตีเสมอให้ทีมได้ ก่อนที่อีก 142 วินาทีต่อมา อาโอะ ทานากะ จะเข้าฮอสพาทีม ซามูไร แซงนำ 2-1 โดยที่ วีเออาร์ ยืนยันว่าบอลยังไม่หลุดออกเส้นหลังเต็มใบ
เท่านั้นแหละ กระทิงดุ ก็ช็อกตาตั้ง และจิตตกอย่างเห็นได้ชัด แถมยิ่งเล่นในสไตล์ครองบอลเนิบๆแบบเดิมก็ยิ่งเข้าทางทีม อาทิตย์อุทัย ที่ไม่จำเป็นต้องบุกอีกแล้ว นอกจากเน้นตั้งกำแพงป้องกันประตูอย่างรัดกุมซึ่งทำเอานักเตะจากแดน เอสปันญ่า ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียวจวบจนกระทั่งหมดเวลา
แน่นอนว่าหลังโม่เกือกกันครบ 90 นาที สเปน เหนือกว่าแทบทุกอย่างยกเว้นจำนวนประตู ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลโดยรวม 82:18% และการสับไก 12:6 ครั้งซึ่งเข้ากรอบ 5:3 ครั้ง
แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือ ญี่ปุ่น สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรก และทีมเดียวที่เอาชนะคู่แข่งที่พยายามผ่านบอลได้มากกว่า 700 ครั้งทั้งในเกมชนะ เยอรมัน และ สเปน ใน ฟุตบอลโลก หนนี้นับตั้งแต่เริ่มมีระบบจดบันทึกสถิติตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา