เวิล์ด คัพฉบับทะเลทรายผ่านมา 28 เกม(นับถึงสิ้นสุดวันอาทิตย์)มียิงกันไปทั้งหมด 67 ลูกหรือค่าเฉลี่ย 2.39 ลูกต่อเกมซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับหลายๆครั้งก่อนหน้านี้
ปี2018 : 2.64 ลูกต่อเกม
ปี2014 : 2.67 ลูกต่อเกม
ปี2010 : 2.27 ลูกต่อเกม
ปี2006 : 2.3 ลูกต่อเกม
ปี2002 : 2.52 ลูกต่อเกม
จากห้าครั้งหลังสุดก็มีตอนแอฟริกาใต้กับเยอรมันเป็นเจ้าภาพที่ค่าเฉลี่ยพังตาข่ายน้อยกว่าหนนี้ซึ่งเกมที่อังกฤษถลุงอิหร่าน6-2กับสเปนถล่มคอสตาริก้า7-0ถือว่าช่วยทำให้ศึกฟุตบอลโลกคราวนี้มีภาพลักษณ์ที่ดูว่าสนุกขึ้นมา
หากถามว่าภาพรวมแล้วมันเอนเตอร์เทนคนดูขนาดไหนกัน?
มีเกมที่ลงเอยด้วยการจับมือเสมอ0-0ไปแล้ว 5 เกม ขณะเดียวกันก็มีแมตช์ที่ต่างทำอะไรกันไม่ได้แบ่งแต้มกันไปรวมทั้งสิ้น 8 เกมโดยถ้าเอาหลักการของพวกบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษมาเป็นบรรทัดฐานถึงเรื่องสกอร์สูง-ต่ำก็จะได้ออกมาดังนี้
สูง2.5(ต้องยิงรวมในเกมอย่างน้อย 3 ลูก)ก็มีแค่ 9 คู่เท่านั้นจาก 28 เกมที่ผ่านมาซึ่งคิดได้เป็น 32% เท่านั้น ก็เท่ากับว่ามีถึง 19 คู่ด้วยกันที่สกอร์ต่ำ(ยิงได้น้อยกว่า 3 ลูกในเกมเดียว) เจาะให้ลึกลงไปก็มีเกมที่ครึ่งแรกจบลงด้วยสกอร์0-0ถึง 15 เกมด้วยกันจากหลายวันที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องที่มีการถกกันในวงกว้างจนต้องมีการตั้งคำถามกันว่าบอลโลกหนนี้สนุกหรือไม่สนุก(กันแน่)?
โอเค มันมีเรื่องที่ทำให้เกิดรอยยิ้มในเกมที่ผลการแข่งขันออกมาเหนือความคาดหมาย ตั้งแต่ซาอุฯโค่นอาร์เจนติน่า2-1, ญี่ปุ่นล้มเยอรมันสกอร์เดียวกันตามด้วยล่าสุดโมร็อกโกที่ขย่มเบลเยี่ยมราบคาบ2-0
ฟุตบอลต้องการอะไรอย่างนี้เสมอครับ มีสิ่งที่ทำให้เชื่อว่ายังไงซะมันก็ลูกกลมๆ มีเกมที่ทำให้หัวใจมันเต้นแรงถึงก้อนพลังงานที่ทีมเล็กๆก็มีวันที่ได้รับการชูมือได้ ตราบใดที่เชื่อมั่น, ทุ่มเทและก้มหน้าทำงานจริงจัง
อีกนั่นแหละ ผมเองก็อดไม่ได้เลยที่ต้องตั้งคำถามว่ามันสนุกหรือไม่สนุกกันแน่
ยิ่งในช่วงวันแรกๆนั้นแต่ละคู่มีการหยุดเกมกันบ่อยมาก ผู้ตัดสินก็ดูได้รับคำสั่งจากฟีฟ่าให้เน้นทุกรายละเอียด นั่นเองทำให้พอป้ายอีเล็คโทรนิคชูขึ้นมาก็มีเสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วกับตัวเลขทดเวลาบาดเจ็บโดยถึงตรงนี้ก็ทะลุเลขสามหลักไปเรียบร้อย
อย่างหนึ่งธรรมชาติของรอบแบ่งกลุ่มที่ปกติแล้วชาติใหญ่ควรถลุงชาติที่เป็นรองได้ไม่ยาก กระนั้นฟุตบอลได้เปลี่ยนไปแล้ว หลายประเทศได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา คุณเอาวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ได้ เราก็เอามาใช้ได้ คุณดูแลเรื่องโภชนาการได้ เราก็จ้างมาได้ ยิ่งกว่านั้นเรื่องของแท็กติกด้วยแล้วที่ต่างก็ทันกัน ทีมที่รู้ว่าเป็นรองก็เน้นเกมรับมากหน่อยซึ่งส่วนใหญ่ก็งัดระบบหลังห้าคนมาวางเรียง
ตามตำราลูกหนังแล้วมีอยู่แค่ 2 วิธีการเท่านั้นที่จะทำให้เกิดเกมพลิกล็อคได้
1. ทีมเล็กโชคดีที่ต่อให้บุกน้อยหรือครองบอลน้อยกว่าแต่พอได้โอกาสก็ทำประตูได้เลย อาทิจากลูกเซตพีซ
2.กลยุทธตั้งรับให้แน่นที่สุดล่อให้ทีมเป็นต่อโหมเกมบุกจนลืมระวังหลังบ้าน มีตัวอย่างมาตลอดว่าการได้โต้กลับเร็วเพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นหมัดน็อกได้ทันที
เพราะมันหาได้น้อยประเภทที่ทีมเป็นรองจะเอาชนะได้ด้วยเกมการเล่นในสนามที่เหนือกว่า มีตัวอย่างก็แคนาดาที่เกมแรกทำได้ดีกว่าเบลเยี่ยมแต่สุดท้ายก็ยังแพ้ไป0-1(แคนาดาตกรอบไปเรียบร้อยแม้จะเป็นชาติที่มีผลงานน่าประทับใจ)
สารภาพเลยว่ามีบางเกมเช่นกันที่ผมไปดูในสนามแล้วร่างกายมันส่งสัญญาณเองจนต้องหาวออกมา บางทีเพราะบอลโลกที่กาตาร์มันแปลกที่สุดกว่าทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะต้องมาเตะกลางซีซั่น ไหนจะสภาพอากาศที่ต่อให้เป็นฤดูหนาวของพวกเขากับสนามมีติดตั้งแอร์แล้วก็ยังมีอุณหภูมิ20ปลายๆถึง30ต้นๆ
อย่างไรก็ตามฟุตบอลจะสนุกหรือไม่สนุกก็อาจไม่ได้อยู่ที่จำนวนประตูอย่างเดียว บางครั้งเกมที่เสมอกัน0-0ดูสนุกก็มี อีกอย่างมันจะมีสตอรี่ให้คนจดจำไม่มีวันลืมก็ต้องมีเทพนิยายขึ้นมาอย่างเช่นเดนมาร์กในยูโรปี1992หรือกรีซปี2004
แม้เรื่องของสไตล์อาจจะใช่ว่าทำให้นั่งกันก้นไม่ติดเบาะก็เถอะ
มีโอกาสแค่ไหนกันที่เราจะได้เห็นเรื่องเล่าขานคลาสสิคเช่นนั้นในดินแดนแห่งตะวันออกกลาง??
ความจริงจนถึงตอนนี้ที่รับรู้ได้ก็คือบอลโลกคราวนี้ยังมีเกมที่เล่นกันน่าอึดอัดมากไป ยิ่งในครึ่งแรกด้วยแล้วก็แทบเดาได้เลยว่าเกมจะเป็นอย่างไร
"ไก่ป่า"