เมื่อเกมระหว่าง สเปน กับ เยอรมัน จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1
และนี่คือสิ่งที่อยากบอกกับสถานการณ์ กลุ่ม อี ศึก ฟุตบอลโลก 2022
1. ก่อนอื่นขอบอกว่าถ้า ญี่ปุ่น สามารถเอาชนะ คอสตาริก้า ได้สำเร็จ พลพรรคอินทรีเหล็กจะตกอยู่ในความกดดันอย่างจงหนัก เพราะหากพลาดท่าพ่ายแพ้ทีมกระทิงดุ พวกเขาจะตกรอบทันที
ยังดีนะครับที่ทีมซามูไรจิ้มจุ่มเสียหลักพุ่งชนความปราชัยในคู่แรกของเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานการณ์ของ เยอรมัน จึงไม่ถือว่าคับขันมากเกินไป
เพราะไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร
อย่างน้อย ทีมจากเมืองเบียร์ก็ยังมีลุ้นถึงนัดสุดท้าย
2. กุนซือของ ญี่ปุ่น เหมือนจะประมาท คอสตาริก้า ไปหน่อย ด้วยการจัดผู้เล่น 11 ตัวจริงแบบแปลกๆ ที่ไม่เอาผู้เล่นที่เป็นตัวทีเด็ดอย่าง ทาคุมะ อาซาโนะ, คาโอรุ มิโตมะ และทาคูมิ มินามิโนะ ซึ่งเล่นงานอินทรีโลหะจนปีกหักในเกมแรกลงสนาม
นอกจากนี้ฟุตบอลก็ไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ เมื่อลงเล่นในสถานะของทีมที่เหนือกว่ากลับทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่
ครองบอลบุกมากกว่า โอกาสทำประตูมากกว่าก็จริง ทว่าเกมรุกกลับไร้ซึ่งประสิทธิ์ภาพ
แม้ว่าจะทยอยส่งผู้เล่นที่เป็นตัวทีเด็ดลงสนามจนครบก็ไม่ทันเวลาแล้ว มิหนำยังถูกหมัดเขวี้ยงควายตูมเดียวเข้าปลายคางจนหลับกลางอากาศอีกตะหาก
ถามว่าทำไมไม่จัดชุดใหญ่ลงสนามตั้งแต่แรก ???
ขอเรียนตามตรงว่าพ่อก็ไม่เข้าใจตุ้มเหมือนกัน
ประมาณว่าเก็บพวกตัวทีเด็ดเอาไว้ลงทีหลังเหมือนเกมหักปีกอินทรีเหล็กอะไรประมาณนั้นมากกว่า
ว่าแล้วก็ให้เสียดายแทนทีมปลาดิบจริงๆ ที่อุตส่าห์โค่นคู่แข่งที่น่าขามเกรงอย่าง เยอรมัน แล้วดันมาแพ้ทีมที่อันดับฟีฟ่าต่ำกว่าตัวเองอย่าง คอสตาริก้า ซะอย่างนั้น
3. บุนเดสเทรนเนอร์อย่าง ฮันซี่ ฟลิค ปรับผู้เล่นหลายตำแหน่ง เช่นเดียวกับปรับระบบการเล่นจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 เพื่อห้ำหั่นกับ สเปน โดยเฉพาะ
สังเกตได้จากแดนกลางที่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง ลีออน กอเร็ตส์ก้า ลงไปช่วย โจชัว คิมมิช กับ อิลคาย กุนโดกัน อีกคน พลางขยับ จามาล มูเซียล่า ออกไปทางด้านข้าง แล้วดัน โทมัส มุลเลอร์ ขึ้นไปเล่นเป็นหน้าเป้า
ทั้งนี้เนื่องเพราะ สเปน ขึ้นชื่อเรื่องการครองบอลอยู่แล้วจึงต้องเน้นการทำลายเกมของคู่แข่งเป็นพิเศษ
ทีมกระทิงดุครองบอลบุกได้มากกว่าตามฟอร์มนะครับ ขณะที่ เยอรมัน พยายามเข้าเพรสส์เร็ว ไม่อนุญาตให้เกมของ สเปน ลื่นไหลจนเกินไป ก่อนดักจังหวะตัดบอลแล้วจู่โจมแบบฉาบฉวย
เกมครึ่งแรกจบลงแบบน่าง่วงนอน เมื่อต่างฝ่ายต่างเน้นความรัดกุมเป็นสำคัญมากกว่าการเปิดหน้าแลกกันให้ตายหงส์ตายห่านไปข้างหนึ่ง
อัตราความเมามันเพิ่งมาสูงขึ้น หลังจาก สเปน ชิงจังหวะขึ้นนำก่อนได้สำเร็จนั่นแหละ
4. สถานการณ์นั้น เยอรมัน อยู่เฉยไม่ได้แล้ว เพราะหากแพ้พ่าย โอกาสตกรอบแรกแบบเสียหมามีค่อนข้างสูง
ฮันซี่ ฟลิค จึงปรับแนวรุกใหม่ด้วยการส่ง ลีรอย ซาเน่ ลงมากระชากลากเลื้อย เช่นเดียวกับศูนย์หน้าขนานแท้ประเภท 'ใครวะ' อย่าง นิคลาส ฟูลล์ครู๊ก พลางโหมเกมรุกมากยิ่งขึ้น
ถือว่าเปลี่ยนตัวได้ผลนะครับสำหรับบุนเดสเทรนเนอร์ เมื่อกองหน้าตัวสำรองตะบันประตูตีเสมอได้สำเร็จ
ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนตัวของ หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือสายพันธุ์กระทิงเปลี่ยวได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่
พราะตัวสำรองที่ส่งลงมากลับทำให้เกมของ สเปน ยวบลง...ซะอย่างนั้น
ผลเสมอและแบ่งแต้มกันถือว่ายุติธรรมสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย
5. สถานการณ์ของกลุ่มนี้ สเปน สบายตัวที่สุด
นัดสุดท้ายแค่เสมอกับ ญี่ปุ่น ก็จะผ่านเข้ารอบทันที หรือต่อให้แพ้พ่ายก็ยังน่าจะตะกุยผ่านเข้ารอบต่อไปได้ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ตอนนี้มีถึง +7
ขณะที่พลพรรคซามูไรบลูส์จะเข้ารอบแบบ 100% ก็ต่อเมื่อเอาชนะ สเปน ให้ได้สถานเดียวนั่นแหละ
ส่วน 'อินทรีเหล็ก' ที่ตอนนี้มีแค่แต้มเดียว หากเอาชนะ คอสตาริก้า ได้ด้วยระยะห่างมากกว่า 2 ประตู พวกเขาจะมี 4 แต้ม และผลต่างประตูได้เสียที่เป็นบวก
กรณีนี้ถ้า ญี่ปุ่น ทำได้แค่เสมอ หรือแพ้ ก็จบเห่โดยพลัน
แล้วไม้ประดับในตอนแรกอย่าง คอสตาริก้า ล่ะ ???
อืมมมมมมม...นะ
พวกเขาจะเข้ารอบทันทีก็ต่อเมื่อยัดเยียดความปราชัยให้ เยอรมัน โดย ญี่ปุ่น ต้องไม่ชนะ สเปน
สุดท้าย สเปน กับ เยอรมัน น่าจะทะยานเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย นอกเสียจากพลพรรคซามูไรหม้อไฟจะสร้างความมหัศจรรย์ออกมาเหมือนในการ์ตูนกัปตันซึบาสะนั่นแหละ...เฮ่ออออ !!!
บอ.บู๋