มันไม่ใช่แค่ชัยชนะในฟุตบอลโลกเหนือประเทศอย่างเยอรมัน
มันก็ไม่ใช่เพียงสามแต้มในเกมนัดแรกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารอบน็อกเอาต์
หากทุกภาพกับทุกเสียงที่สื่อสารมาถึงได้ตอกย้ำถึงสปิริตของชนชาติหนึ่งที่ภาคภูมิใจในตัวเองเสมอมา พวกเขาไม่เคยอายที่จะประกาศให้ชาวโลกรับรู้ถึงขนบวัฒนธรรมของตัวเอง อย่างเวลาไปเชียร์บอลก็ต้องมีการแต่งกายที่สะท้อนออกมาถึงความเป็นดินแดนอาทิตย์อุทัย
"เราเชื่อว่าเราเอาชนะเยอรมันได้เพราะซาอุฯแสดงให้เห็นมาแล้วในการล้มอาร์เจนติน่า วันนี้เราก็แสดงออกมาแล้วว่าเราทำได้..."นักข่าวสาวญี่ปุ่นที่ตอนนั้นน้ำตารื้นแล้วส่งเสียงลุ้นตลอดเกมพูดกับผมไว้
ฟุตบอลมอบพลังงานเช่นนี้ให้เราเสมอ
ทีมที่ดูด้อยกว่าก็กำราบทีมที่ดูดีกว่าได้...หากคุณมุ่งมั่นและเชื่อว่าทำได้
ครึ่งเวลาแรกของเกมในสนามคาลิฟา สเตเดี้ยมเมื่อบ่ายวันพุธก็ดูไม่มีสัญญาณใดๆว่าจะมีแมตช์พลิกล็อคเกิดขึ้น เป็นพลพรรคอินทรีเหล็กที่บุกได้เยอะ ผลิตโอกาสก็เยอะ เพียงแต่พวกเขายิงได้เพียงลูกเดียวแถมเป็นจุดโทษซะด้วย
สถิติในครึ่งแรกก็สะท้อนทุกอย่าง : เยอรมันครองบอล 81% โอกาส 14 ครั้ง
ขณะที่ญี่ปุ่น?? นับแล้วนับอีกก็ได้เพียง 1 ครั้ง
จุดหักเหของเกมก็มาอยู่ตรงการแก้เกมของฮาจิเมะ โมริยาซึ โค้ชวัย54ที่ปรับแท็กติกจาก4-3-3เป็น5-4-1ด้วยการส่งทาเกฮิโร่ โทมิยาซึ กองหลังจากอาร์เซน่อลงแทนทาเกฟูซ่า คูโบะโดยมองผิวเผินก็ทำให้สงสัยว่าสกอร์ก็ตามหลังอยู่แต่ทำไมเลือกแผนที่ดูเหมือนยิ่งเน้นเกมป้องกันขึ้น เอาปีกออกแล้วเพิ่มแนวรับไปอีกคน
ทว่านี่ครับทำให้โมเมนตัมเหวี่ยงไปอีกทางเลย
วิเคราะห์ก็จากครึ่งแรกที่โดนเยอรมันจู่โจมเยอะทางด้านขวาของตัวเอง ก็เป็นแบ็กซ้ายดาวิด เราม์ที่เติมทางกราบซ้ายเมามันจนเป็นตัวป่วนที่สุดแล้วก็ได้ของญี่ปุ่น
หนึ่งในบัญญัติของคัมภีร์ลูกหนังเขียนไว้ว่า"วิธีการเอาชนะคู่แข่งไม่จำเป็นเลยต้องน็อกด้วยหมัดแรก...
"
โมรึยาซึอ่านออกว่าครึ่งหลังยังไงซะก็ต้องเจอเกมรุกหนักหน่วงจากทีมของฮันซี่ ฟลิคเหมือนเดิมจึงเลือกขันเกมรับให้แน่นที่สุดแล้วรอฉวยโต้กลับเร็วโดยทิ้งจุนย่า อิโตะกับไดอิชิ กามาดะเป็นสองตัวรุกคอยทำหน้าที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุก
บางจังหวะจึงได้เห็นผู้เล่นญี่ปุ่น 3 คนดวลกับผู้เล่นเยอรมัน 3 คน...
หรือว่าตอนที่เซตเกมรุกได้ด้วยก็มีวิงแบ็กสองข้างดันสูงเพื่อหวังทวงประตูตีเสมอก็จะกลายเป็นว่าเกมรุกมี 5 คนที่คอยขึงเกมรับทีมอินทรีเหล็กที่มีแค่ 4 คน
สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้สำเร็จจริงๆจากความเพียรพยายามซึ่งเป็นสองลูกจากสองตัวสำรองด้วย นั่นก็ยืนยันว่าโมริยาซึทำถูกต้องทุกอย่างในการแก้ไขสถานการณ์ ถึงกระนั่นเรื่องที่น่าชื่นชมญี่ปุ่นไม่ใช่แค่สามแต้มเหนือทีมเจ้าของแชมป์โลกสี่สมัย
กวาดสายตาไปรอบสนามก็ต้องทึ่งที่มีแฟนบอลชาวเอเชียมากกว่ายุโรป ก็สัมผัสได้ว่าเสียงเชียร์ที่ได้ยินต่อเนื่องก็มาจากทางฝั่งกองเชียร์ซามูไรทั้งสิ้น ไม่ใช่จากเมืองเบียร์
กัปตันทีม-มาย่า โยชิดะได้ให้สัมภาษณ์ไว้หลังเกมตรงพื้นที่Mix Zoneด้วยรอยยิ้มอันปลื้มปิติ"ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เพื่อบอกให้รู้ว่าทีมจากเอเชียก็มีดีเช่นกัน วันนี้เป็นความสวยงามของฟุตบอล"
ญี่ปุ่นเข้ารอบสุดท้ายเวิล์ด คัพมา 7 สมัยติดซึ่งถึงอาจไม่ได้เคยทะลุไปถึงรอบลึกๆแต่พัฒนาการของพวกเขาก็ชัดเจน จากที่เคยมีแต่นักเตะที่ค้าแข้งในลีกตัวเองเมื่อครั้งได้ไปครั้งแรกปี1998ที่ฝรั่งเศสก็กลายว่าชุดปัจจุบันที่มากาตาร์มีถึง 19 คนที่หากินในยุโรป
เจลีกกำลังฉลองครบรอบ30ปีในเร็วๆนี้
นั่นก็หมายถึงว่าพวกเขามีลีกที่ยอดเยี่ยมคอยปั้นผู้เล่นส่งออกไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทั้งร่างกายกับจิตใจ มีลีกที่มีรากฐานมั่นคงจากความตั้งใจทำจริงจัง
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พลิกชนะเยอรมันก็มาจากที่นักเตะหลายคนก็เล่นในบุนเดสลีกาด้วย เรื่องนี้โยชิดะที่อยู่กับชาลเก้ได้บอกเองว่าเขากับเพื่อนๆตั้งใจศึกษาแท็กติกกับสไตล์ของนักเตะเยอรมันทันทีเมื่อรู้ผลจับสลาก
บังเอิญหรือเปล่าครับที่ริตซึ โดอันกับทากูม่า อาซาโนะ สองฮีโร่ผู้ยิงคนละประตูเมื่อวันพุธก็เป็นสองคนที่มีต้นสังกัดในบุนเดสลีกา
ชนะในสนามยังไม่พอ ยังชนะด้านนอกสนามจนต้องคาราวะให้อีกด้วยเมื่อต่างช่วยกันเก็บกวาดขยะในสนามไปทิ้ง ส่วนในห้องแต่งตัวนักเตะก็คลีนจนสะอาดเอี่ยมอ่อง
พวกเขาสอนให้รู้แล้วว่าเกิดมาเป็นซามูไรไม่จำเป็นเลยต้องชักดาบออกมาเพื่อให้คนสยบให้
ขณะเดียวกันลองเปิดตาให้กว้างขึ้นอีกสักหน่อยก็จะเห็นภาพที่ใหญ่กว่าเดิม มันไม่ใช่แค่วันที่ญี่ปุ่นได้รับการชูมืออย่างยิ่งใหญ่
มันยังทำให้บาดแผลของบางชาติยาวลึกกว่าเดิมอีกด้วย
ที่ผ่านมาพวกเราทำอะไรกันอยู่ครับ?
"ไก่ป่า