เปิด 30 ไทม์ไลน์ดราม่าเงินรางวัลอัดฉีดแคมป์ตะกร้อไทย

เปิด 30 ไทม์ไลน์ดราม่าเงินรางวัลอัดฉีดแคมป์ตะกร้อไทย
จากกรณีประเด็นข่าวฉาวของวงการเซปักตะกร้อไทย หลังจบศึกเอเชียนเกมส์ 2022 หรือ "กว่างโจวเกมส์" ได้มีอดีตนักตะกร้อทีมชาติไทยโพสต์ถึงเรื่องข้อตกลงเรื่องเงินอัดฉีดนักกีฬาทีมชาติไทยของกีฬาตะกร้อว่ามีการตกลงแบ่งเปอร์เซ็นต์ภายในแคมป์ จากจำนวนเงินอัดฉีดที่นักกีฬาแต่ละคนได้รับจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ

ประเด็นนี้ทำให้  "โจ้หลังเท้า" พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ 1 ในคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทยได้ออกมาช่วยเหลือนักกีฬาทีมชาติที่โดนแบบเดียวกัน โดยได้รวบรวมเอาหลักฐานต่างๆที่ได้รับมา ทั้งนักกีฬาแต่ละคนมีข้อตกลงไว้กี่เปอร์เซนต์ มีการโอนเข้าบัญชีใคร หรือมีการนัดสถานที่ให้เงินสดกันที่ไหนออกมาเปิดเผยเพื่อขอให้สมาคมกีฬาเซปักตะกร้อทำการตรวจสอบความจริง

กระทั่งล่าสุดเมื่อ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา สมาคมกีฬาเซปักตะกร้อแห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ นายธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมคนใหม่ ซึ่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ได้เปิดประชุมพร้อมชี้แจงบทสรุปดังกล่าว โดยให้ผู้จัดการทีมและโค้ชทีมชาติไทยที่ถูกกล่าวหา ยุติการทำหน้าที่ ขณะเดียวกันได้แต่งตั้ง สุพจน์ ตุ้มประชา ทำหน้าที่คุมทีมชาติไทยสู้ศึกใหญ่ ตลอดปี 2567

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวกีฬาสยามได้รวบรวมไทมไลน์เหตุการณ์สำคัญๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเด็นนี้ ซึ่งมี 30 ไทมไลน์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น โดยมีดังนี้

1. ในระหว่างการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน ช่วงเดือนกันยายน พ.ศ.2566 "ตุ๊ก" ธิดาวรรณ ดาวสกุล อดีตนักตะกร้อหญิงทีมชาติไทย ในตำแหน่งตัวฟาด ออกมาโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่าเคยโดนหักเงินอัดฉีดในสมัยที่ยังติดทีมชาติ ในระหว่างกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.2553 จากผู้ฝึกสอนในเวลานั้น จนกลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

2. เรื่องดังกล่าว ทำท่าจะเงียบหายไปตามกาลเวลา ทว่าในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 กระทั่ง "โจ้หลังเท้า" พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ อดีตนักตะกร้อทีมชาติไทยตำแหน่งตัวเสิร์ฟ ในฐานะคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย ได้นำอดีตนักตะกร้อทีมชาติรุ่นเดียวกันอย่าง พ.ต.ท.สมพร ใจสิงหล, ร.ท.สุริยัน เป๊ะชาญ และ น.ท.พูนศักดิ์ เพิ่มทรัพย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ บ้านอัมพวัน ที่ทำการของสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย เพื่อแฉถึงกระบวนการหักเงินอัดฉีดของนักกีฬา ซึ่งทำกันมานานกว่า 20 ปี

3. ทั้ง 4 ราย กล่าวว่า สมัยที่เป็นนักกีฬา จะโดนหักเงินอัดฉีดมาโดยตลอด ในรายของ สมพร ใจสิงหล กล่าวว่า ใครที่ได้ลงทีมเดี่ยว จะถูกหักถึง 50 เปอร์เซ็นต์

4. สืบศักดิ์ ผันสืบ ได้ยกตัวอย่างของ "ปู" พิกุล สีดำ อดีตนักตะกร้อหญิงทีมชาติไทยในตำแหน่งตัวเสิร์ฟว่า ในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ณ เมืองกวางโจว ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.2553 พิกุล พาทัพตะกร้อหญิงไทยคว้าเหรียญทอง 2 เหรียญ ทั้งประเภททีมชุดหญิงและทีมเดี่ยวหญิง และควรจะได้รับเงินอัดฉีดจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท (เหรียญทองละ 1 ล้านบาท ตามเงื่อนไขในเวลานั้น)

5. ทว่าเธอกลับถูกบังคับให้โอนให้โค้ชในเวลานั้นและผู้จัดการทีมคนละ 5 แสนบาท (รวม 1 ล้านบาท) และยังบอกอีกว่า ถ้าอยากติดทีมชาติต่อในรายการอื่นก็ต้องโอนให้คนอื่นอีก

6. เมื่อ พิกุล สีดำ รับกับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ จึงถูกกลั่นแกล้งทุกทาง เช่น ถูกบังคับให้ซ้อม 7 วันไม่มีวันหยุดพัก, ให้ลดน้ำหนัก และย้ายห้องนอนให้ไปอยู่กับคนที่มีความขัดแย้งกันมาก่อน จนกระทั่งมีปัญหากระทบกระทั่งกัน และมีคนมาถ่ายคลิป ซึ่งคลิปนี้ได้กลายเป็นหลักฐานและข้ออ้างให้เธอถูกไล่ออกจากแคมป์ทีมชาติ ในข้อหาไม่มีคุณสมบัติของการเป็นนักกีฬาทีมชาติ

7. คุณพ่อของ พิกุล ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือ เพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า

8. เมื่ออนาคตการเป็นนักตะกร้อทีมชาติได้จบลง เธอจึงเดินทางไปเป็นแรงงานปลูกผลไม้ในประเทศเกาหลีใต้ ก่อนที่ปัจจุบันจะเดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้ว

9. หลังจากยกตัวอย่างของ พิกุล สีดำ เสร็จแล้ว สืบศักดิ์ ผันสืบ ได้แฉถึงกระบวนการหักเงินอัดฉีดที่นักกีฬาได้รับจากผลงานการคว้า 4 เหรียญทองเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.2566

10. ตามเงื่อนไข นักกีฬาที่ได้เหรียญทองจะได้รับเงินอัดฉีดจากกองทุนพัฒนกีฬาแห่งชาติ คนละ 2 ล้านบาท, สมาคมได้ 30 เปอร์เซ็นต์ของนักกีฬา และ ผู้ฝึกสอนได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของนักกีฬา(หากเป็นชนิดกีฬาประเภททีมที่มีนักกีฬา 7 คนขึ้นไป ผู้ฝึกสอนจะได้ 10 เปอร์เซ็นของนักกีฬา)

11. ในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 "หางโจวเกมส์" เมื่อปี พ.ศ.2566 สมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย มีผลงานคว้ามาได้ 4 เหรียญทอง จากประเภททีมชุดชาย, ทีมเดี่ยวชาย, ทีมชุดหญิง และทีมเดี่ยวหญิง จึงได้เงินอัดฉีดทั้งสิ้น 86,800,000 ล้านบาท

12. แบ่งเป็นนักกีฬา 68,000,000 บาท (ทีมชายได้ 34 ล้านบาท, ทีมหญิงได้ 34 ล้านบาท), ผู้ฝึกสอนได้ 8,800,000 บาท และสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทยได้ 10,000,000 บาท

13.  "โจ้หลังเท้า" ได้แฉอีกว่า หลังจากนักกีฬาได้รับเงินอัดฉีดเสร็จแล้ว จะมีการหักเงินอัดฉีด 2 วิธีคือ 1. ให้โอนเงินหักไปยังตัวพักเงิน ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาคนหนึ่ง ก่อนจะโอนให้ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ส่วนวิธีที่ 2. ให้นักกีฬาเบิกเงินสดมาทั้งหมดและไปนัดพบกันที่ร้านอาหาร และหักเงินกันตรงนั้น ทั้งสองวิธีดังกล่าว ทำเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน

14. ตำนานตัวเสิร์ฟแห่งวงการหวายไทยยังกล่าวอีกว่า นักกีฬาทีมชาติชุดปัจจุบันพร้อมให้ข้อมูล แต่ไม่มีใครกล้าเปิดหน้าพูด เพราะจะมีผลต่อการติดทีมชาติครั้งต่อไป

15. นอกจากนี้ พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ ยังได้กล่าวถึงการหักเงินอัดฉีดที่ได้มาจากผลงานการคว้า 4 เหรียญทองเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 อีกว่า เมื่อมีการหักเงินอัดฉีดกันแล้ว ยังมีเงินจำนวนไม่น้อย ที่หายไปแบบไม่มีที่มา

16. อย่างเช่นทีมชาย ที่ได้ 2 เหรียญทองในประเภททีมชุดชายและทีมเดี่ยวชาย และนักกีฬาจะได้เงินอัดฉีดทั้งสิ้น 34 ล้านบาท ซึ่ง 7 คนที่ลงแข่งขันเฉพาะทีมชุด จะได้ไปคนละ 2 ล้านบาท โดยไม่ต้องหักเข้ากองกลาง ส่วน 5 คนที่เล่นทั้งทีมชุดและทีมเดี่ยวซึ่งได้คนละ 4 ล้านบาท ถูกหักไปคนละ 1.9 ล้านบาท ตามที่ตกลงกันไว้ (รวมเงินที่ถูกหักเข้ากองกลางเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 9.5 ล้านบาท)

17. 9.5 ล้านดังกล่าว ถูกแบ่งให้นักกีฬา 3 คนที่เดินทางไปจีนด้วยอีกคนละ 1.3 ล้าน (รวม 3 คน 3.9 ล้านบาท) และแบ่งให้นักกีฬาที่เป็นคู่ซ้อมอีก 9 คน คนละ 2.5 แสนบาท(รวมทั้งสิ้น 2.25 ล้านบาท)

18. อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเงินที่ถูกหักเข้ากองกลาง 9.5 ล้านบาทไปแบ่งให้กับนักกีฬา 3 คนที่เดินทางไปจีนด้วย(3.9 ล้านบาท) และนักกีฬาคู่ซ้อมอีก 9 คน(2.25 ล้านบาท) ปรากฏว่ายังเหลืออีก 3.35 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าหายไปไหน

19. ด้านนักกีฬาทีมหญิงที่ได้เงินอัดฉีดจำนวนทั้งสิ้น 34 ล้านบาท จากการคว้า 2 เหรียญทองเช่นกัน(ทีมชุดหญิงและทีมเดี่ยวหญิง) ได้ตกลงกันว่า นักกีฬา 5 คนที่เล่นทั้งทีมชุดและทีมเดี่ยว จะถูกหักเงินอัดฉีดเข้ากองกลาง 50 เปอร์เซ็นต์ จากคนละ 4 ล้าน ถูกหักเข้ากองกลาง 2 ล้านบาท(ถูกหักเข้ากองกลาง 10 ล้านบาท)

20. ส่วนอีก 7 คนที่ลงเฉพาะทีมชุดหญิง ที่ได้คนละ 2 ล้านบาท ถูกหักเข้ากองกลางคนละ 5 แสนบาท(ถูกหักเข้ากองกลาง 3.5 ล้านบาท)

21. จึงทำให้เงินที่ถูกหักเข้ากองกลางมียอดอยู่ที่ 13.5 ล้านบาท ซึ่งได้แบ่งให้นักกีฬาที่เดินทางไปจีนด้วย 3 คน คนละ 1.5 ล้านบาท(รวม 4.5 ล้านบาท) และแบ่งให้นักกีฬาคู่ซ้อม 9 คน คนละ 2.5 แสนบาท(รวม 2.25 ล้านบาท) 

22. ทว่าเมื่อแบ่งให้นักกีฬา 3 คนที่ไปจีนด้วย และนักกีฬาคู่ซ้อมอีก 9 คน เงินกองกลางก็ยังเหลือ 6.75 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้ไปอยู่ไหน

23. เมื่อรวมกับของทีมชายแล้ว ปรากฏว่าเงินกองกลางที่หักจากนักกีฬา หายไปอย่างไร้ร่องรอยถึง 10.1 ล้านบาท

24. หลังจากแถลงข่าวเสร็จ สืบศักดิ์ ผันสืบ ก็ได้ยื่นเรื่องให้สมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป โดยมีคุณบุญชัย หล่อพิพัฒน์ อุปนายกสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับเรื่อง

25. เวลาต่อมา ตำนานเสิร์ฟหลังเท้า ได้ยื่นเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมาธิการกีฬา สภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ให้ช่วยตรวจสอบด้วย

26. ทั้งนี้ อดีตนักตะกร้อทีมชาติอย่าง อนุวัฒน์ ชัยชนะ กับ อัษดิน วงศ์โยธา เคยออกมาโพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ตอนที่ทั้งคู่เล่นให้ทีมชาติ เต็มใจให้ผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอนหักเงินอัดฉีดเอง เพื่อแบ่งปันนักกีฬาคนอื่นที่ช่วยมาเป็นคู่ซ้อม

27. ในขณะที่ผู้ฝึกสอนบางคนก็โพสต์ด้วยว่า การหักเงินอัดฉีดของนักกีฬาเพื่อให้นักกีฬาคู่ซ้อม เพื่อต้องการสอนให้นักกีฬารู้จักแบ่งปัน รักใคร่สมัครสมานสามัคคีกัน

28. อย่างไรก็ตาม เงินกองกลางที่หายไป 10.1 ล้านบาท ก็ไม่มีใครออกมาตอบว่าหายไปไหน

29. กระทั่งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ในระหว่างการประชุมสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย ณ โรงแรมอเล็กซานเดอร์ ถนนรามคำแหง คุณธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย ได้มีคำสั่งพักงานทีมงานผู้ฝึกสอนตะกร้อทีมชาติไทยทั้งทีมชายและทีมหญิง รวมถึงผู้จัดการทีมด้วย จนกว่าการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น

30. มีมติแต่งตั้งคณะผู้ฝึกสอนชุดใหม่ ที่ประกอบด้วย สุพจน์ ตุ้มประชา ตำแหน่งผู้จัดการทีมและหัวหน้าผู้ฝึกสอน และทีมงานผู้ฝึกสอนอีก 4 คนได้แก่ สามารถ โพธิ์ทอง, สมพร ใจสิงหล, ประเวศ อินทรา และ อธิยุต กิ้มทอง มาทำหน้าที่ในปีนี้ ซึ่งมี 3 ทัวร์นาเมนต์สำคัญ ได้แก่ ศึกชิงแชมป์โลกที่มาเลเซีย ช่วงเดือนพฤษภาคม, ตะกร้อคิงส์คัพที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพช่วงเดือนกันยายน และเอเชียนอินดอร์แอนด์มาร์เชียลอาร์ตส์เกมส์ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ช่วงเดือนพฤศจิกายน


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport