ไทยรัฐกรุ๊ป เปิดเวทีเสวนา "Soft Power Thailand’s Next Weapon" ดึงภาครัฐบาลและเอกชน พูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดีย ทิศทาง และมุมมองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แพทองธาร ชินวัตร รองประธานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เผยซอฟต์พาวเวอร์ 3 ด้าน จากทั้งหมด 11 สาขา ที่รัฐบาลและเอกชน ต้องการผลักดันและทำให้สำเร็จในปีนี้เลย คือ ด้านกีฬา ซึ่งก็คือ มวยไทย อาหาร และการท่องเที่ยว
โดยเมื่อวันที่ 24 ม.ค.67 ไทยรัฐกรุ๊ป จัดงานเสวนา "Soft Power Thailand’s Next Weapon" ที่สำนักงานไทยรัฐ ถ.วิภาวิดีรังสิต โดยภายในงาน จิตสุภา วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ไทยรัฐทีวี และไทยรัฐออนไลน์ กล่าวต้อนรับและเปิด โดยมีตัวแทนจากภาครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ และตัวแทนจากภาคเอกชน อรุโณชา ภาณุพันธ์ ผู้จัดละครและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ เทเลวิชั่น จำกัด พร้อมด้วย ธนชาติ ศิริภัทราชัย ผู้กำกับ และผู้เขียน Salmon House และ อัจฉรา บุรารักษ์ หัวเรือใหญ่ Iberry Group ซึ่งมีร้านอาหารมากกว่า 40 สาขาทั่วกรุง ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดีย ทิศทาง และมุมมองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
จิตสุภา วัชรพล เผยว่า อย่างที่ทราบกันว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากมายที่ยังไม่ถูกนำมาผลักดันและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาในวงกว้าง ธุรกิจเดิมๆอุตสาหกรรมเดิมอาจไม่มีแรงขับเคลื่อนมากพอให้ประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางการแข่งขันของโลกธุรกิจในเวลานี้ ดังนั้นการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
"ในส่วนตัวดิฉันคาดหวังและรอคอยที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ของนโยบายนี้อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งการจัดเวทีเสวนานี้ มีขึ้นเพื่อประกาศเจตนารมย์ว่าไทยรัฐกรุ๊ป พร้อมจะสนับสนุนการทำงานของ คณะกรรมการ ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และอยากเป็นตัวแทนกระจายข่าว ข้อมูลที่มีประโยชน์ให้กับภาคประชาชนและสังคม ในวงการให้ได้รับทราบ เนื่องจากว่า ถ้านโยบายนี้สามารถผลักดันให้เป็นอาวุธลับทางเศรษฐกิจได้จริงๆ จะสร้างเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาในประเทศ และทำให้เศรษฐกิจของประเทศเรามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนและสมบูรณ์แบบ"
ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เผยว่า "ซอฟท์เพาวเวอร์" มีมานานแล้ว เกือบ 20-30 ปี ซึ่งครอบคลุมทั้งการพัฒนาคนที่มีทักษะสูง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเมืองประชาธิปไตย และ การต่างประเทศ และเป็นการทำงานอีกหลายๆด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนา จนสามารถส่งออกวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และคุณค่าไปสู่นานาประเทศ และกลายเป็นผู้นำในระดับโลกได้
"เรามีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาคนและอุตสาหกรรมในประเทศให้มั่นคงและยั่งยืน อย่างงบที่ได้รับความเห็นชอบกว่า 5 พันล้านบาท จากบอร์ดฯ ก็เตรียมจะถูกนำมาขับเคลื่อนแผนปฏิบัติงาน 11 สาขาอุตสาหรรม ประกอบด้วย แฟชั่น, หนังสือ, ภาพยนตร์, ละครและซีรีส์, เทศกาล, อาหาร, การออกแบบ, การท่องเที่ยว, อีสปอร์ต, ดนตรี, ศิลปะ และกีฬา ซึ่งแต่ละคณะได้เสนอแผนการดำเนินการเร่งด่วนภายใน 100 วัน, 6 เดือน และภายใน 1 ปี เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์เพาเวอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จักและสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น
"ในกระบวนการลงมือทำ ในแต่ละด้านก็จะมีขั้นตอนและการดำเนินงานของตัวเอง อย่างด้านอาหาร เรามีทำหลักสูตรที่รัฐช่วยสนับสนุน ให้คนได้เรียนฟรี เรียนออนไลน์ ซึ่งคนที่จบหลักสูตรนี้ ก็จะได้รับใบประกาศ สามารถนำไปต่อยอดทำงานได้ทั้งในและต่างประเทศได้ ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็มีซอฟต์พาวเวอร์เป็นของตัวเองกันหมด ซึ่งตนเองไม่คิดว่าจะเป็นคู่แข่งกัน แต่คิดว่าเป็นเพื่อนกัน และต้องพึ่งพาอาศัยกัน"
"มวยไทย อาหารไทย และการท่องเที่ยว เป็น 3 ด้าน ที่เราพร้อมผลักดันและทำให้ได้ในปีนี้ได้เลย ซึ่งเราจะทำให้เป็นระบบและระเบียบมากขึ้น อย่างเรื่องของมวยไทย เราได้ ผศ.พิมล ศรีกรม์ ที่คร่ำวอดอยู่กับวงการกีฬาไทยมานาน และคณะมาช่วย ตอนนี้เรามีวัตถุดิบอยู่แล้ว แต่เราก็จะทำเป็นระบบมากขึ้น อย่างมวยไทย ทั่วโลกมียิมสอนมวยไทย 4 หมื่นที่ แต่กลายเป็นชาวต่างชาติส่วนมากที่เป็นครูสอน ซึ่งตรงนี้ เรารู้สึกว่าควรจะมีหลักสูตรที่เป็นครูมวยไทยไปเผยแพร่ เพื่อโปรโมทมวยไทยออกไปมากยิ่งขึ้นกว่านี้"
"เชื่อว่าหากเอกชนและรัฐบาลช่วยกันมีโอกาสมากทีเดียวที่โปรเจคเหล่านี้จะสัมฤทธิ์ผล จริงๆแล้วซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศที่มั่นคง ก็มาจากการสร้างและพัฒนาทักษะของคนไทย ให้คนไทยมีทักษะที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ และสามารถต่อยอดสำหรับการประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง ครอบครัวได้" น.ส.แพทองธาร กล่าวทิ้งท้าย