"หากเราควอลิฟายไม่ผ่านก็แสดงว่าเรายังไม่เก่งพอที่จะไปยืนอยู่ในสนามแข่งขันโอลิมปิก" นั่นคือสิ่งที่นักขี่ม้าสาวทีมชาติไทย "ปรีดิ์อัญ" ชนกภรณ์ การุณยธัช คิดหลังจากที่ตกผลึกความกดดัน ปล่อยวางที่จะมุ่งสู่สังเวียนโอลิมปิก ความฝัน และเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทางของกีฬาขี่ม้า
โอลิมปิก 2020 "โตเกียวเกมส์" คือบาดแผลที่เกิดขึ้นในใจของปรีดิ์อัญ เริ่มต้นด้วยการขึ้นเป็นผู้นำของโซนในการควอลิฟายโอลิมปิก แต่เมื่อการควอลิฟายสิ้นสุดนักขี่ม้าสาวไทยหล่นรั้งที่ 3 ในขณะที่จะมีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่จะได้ไปโตเกียวเกมส์
มือที่เคยกำตั๋วเอาไว้ กลับหลุดออกไป ปรีดิ์อัญดิ่งกับความผิดหวัง ร้องไห้ เก็บตัว ไม่ยอมออกไปพบปะผู้คน แต่โชคดีที่เจ้าตัวมีครอบครัวและคนรอบข้างคอยเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะทำให้นักขี่ม้าสาวไทยกลับมาฮึดสู้ใหม่ ด้วยคำพูดของเพื่อน
"คุณเป็นใครที่ต้องได้ไปโอลิมปิกกับครั้งแรกที่เริ่มควอลิฟาย นักกีฬาบางคนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตยังไม่ได้ไปแข่งเลย แต่คุณเพิ่งจะเริ่มต้นใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี หากไม่ได้ไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แค่กลับมาสู้ใหม่ พยายามใหม่ มัวแต่นั่งคิดถึงความผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วเราจะก้าวผ่านเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร"
คำเตือนของเพื่อนจึงดึงสติของปรีดิ์อัญให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง แม้จะแก้ปมในโตเกียวออกได้ไม่หมด แต่ก็ไม่เอามาเป็นตัวบั่นทอนความตั้งใจและเป้าหมายของตัวเอง หลังจากนั้นปรีดิ์อัญกลับมาวางแผนการแข่งขันใหม่ควบคู่กัน 2 รายการคือ เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 "หางโจวเกมส์" และควอลิฟายโอลิมปิก 2024 "ปารีสเกมส์" ที่จะเริ่มเก็บคะแนนตั้งแต่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา "ปรดิ์อัญ" และอาชาคู่ใจ "ทีน่า" ต้องทำงานกันหนักมากเพื่อวางแผนการแข่งขันคลาสใหญ่ที่จะมีคะแนนสะสมควอลิฟายโอลิมปิกให้ ต้องเดินทางแข่งขันกันเป็นเดือนๆ จนคะแนนกลับขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปครึ่งทาง คะแนนของนักขี่ม้าสาวหล่นไปรั้งอันดับ 2 ของกรุ๊ปจี โดยมีนักกีฬาจากนิวซีแลนด์ขยับขึ้นมารั้งที่ 1 เพราะแผนการแข่งขันที่วางไว้ไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด
"ช่วงที่แข่งเก็บคะแนนและเครียดหนักที่สุดคือ ไปแข่งซาอุฯ และต้องนำม้าไปแข่งที่ยูเออี ต่อซึ่งเป็นรายการใหญ่ระดับ 4 ดาวคือเวิลด์ คัพ และเป็นแมตช์ควอลิฟายโอลิมปิก 2024 ปรากฏว่ายูเออีออกกฎใหม่ ม้าที่เดินทางมาจากซาอุฯ ต้องกักตัว 30 วัน ทำให้ม้าปรีดิ์และม้าจากยุโรปประมาณ 50 ตัวที่เดินทางมาแข่งขันที่ซาอุฯ ไม่สามารถเดินทางไปแข่งขันรายการเวิลด์ คัพ ที่แข่งช่วงเดือนมกราคม 2566 ได้ แผนทุกอย่างที่เราวางไว้มันรวมไปทั้งหมด เพราะหากไปแข่งที่ยูเออีได้ก็จะสามารถเก็บคะแนนได้ประมาณ 3 สนาม เราก็จะไม่เหนื่อยมาก"
"แต่พลาดรายการใหญ่ ปรีดิ์กับโค้ชต้องมาวางแผนการแข่งขันใหม่ และต้องเลือกเอารายการที่มีคะแนนเท่านั้น แต่ช่วงต้นปีทำผลแข่งออกาไม่ดี ไม่ผ่านเข้ารอบกรังด์ปรีซ์ จนเราถามโค้ชว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำ เราจะแก้ไขยังไงดี แต่โค้ชก็บอกว่าเพราะดวงเราไม่ดี ซึ่งถ้าเป็นเรื่องดวงนั้นหมายถึงเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ก็กลับไปดูวิดีโอแข่งขันแต่ละแมตช์เป็นร้อยๆ รอบเพื่อหาจุดที่เราผิดพลาด"
"8 แมตช์แรกผลงานแย่มาก และยิ่งไปเห็นคะแนนยิ่งเครียด เพราะคะแนนอันดับ 1-4 สูสีกันมาก พอยิ่งเห็นคะแนนสูสี เราก็ยิ่งคิดจะทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด เข้ารอบกรังด์ปรีซ์ให้ได้มากที่สุด ปรากฏว่ามันกลายเป็นความกดดัน ความเครียด จนรู้สึกว่าไม่มีความสุขกับการแข่งขันเลย และคิดถึงขั้นพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ไปแล้วโอลิมปิก ร้องไห้กับตัวเองเกือบทุกวัน เครียดมาก แต่ก็ผ่านมันมาได้เพราะครอบครัว คุณแม่ เวลามีปัญหาอะไรก็โทรหาคุณแม่ ที่คอยเป็นกำลังใจมาตลอดกว่า 12 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเพียงลำพัง"
"โอลิมปิกคือความฝันของเรา และเป็นความฝันของครอบครัว คนรอบตัว ไม่อยากให้เราทิ้งฝันของตัวเอง แต่เมื่อเราพยายามเต็มที่แล้วมันไปไม่ได้ แสดงว่าเราไม่เหมาะ ยังเก่งไม่พอที่จะก้าวไปอยู่ ณ จุดนั้น นั้นคือความคิดที่ช่วยปลดล็อกไม่ให้เคร่งเครียดกับการควอลิฟายโอลิมปิกเพียงอย่างเดียว และบอกกับโค้ชว่า ให้เปลี่ยนมาโฟกัสที่เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 กันดีกว่า เลยเปลี่ยนแผนกันอีกรอบ ไปแข่งรายการที่มีความใกล้เคียงกับเอเชียนเกมส์ และเริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีขึ้น ทำคะแนนไล่ที่ 1 จากไล่อยู่กว่า 50 แต้มเหลือเพียงแค่ 13 แต้ม หลังจบการแข่งขันเอเชียนเกมส์"
"ก่อนจะเดินทางไปแข่งที่ซาอุฯ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตอนนั้นคะแนนตามหลังนิวซีแลนด์ไม่เยอะและอยู่อันดับ 2 ก็แอบคิดแล้วว่าเราได้ไปโอลิมปิกแน่นอนแล้ว เพราะคะแนนของคนอื่นยังเป็นหลักสิบ ไม่น่าจะทำคะแนนไล่ขึ้นมาแซงได้เหมือน โอลิมปิกโตเกียวเกมส์ ตอนไปซาอุฯ เลยไม่กดดันมากและทำผลงานออกมาได้ดีผ่านเข้ารอบกรังด์ปรีซ์ทั้ง 2 รายการ เก็บแต้มเพิ่มมากว่า 100 แต้มควอลิฟายจบก็ขึ้นเป็นที่ 1 ของโซนเหมือนปลดล็อกตัวเองได้สำเร็จแต่สิ่งที่ตามมาหลังแข่งจบคือ รู้สึกตัวเองไม่มีความสุขเลย"
"กลับไม่รู้สึกดีใจ ในทางตรงกันข้าม รู้สึกเศร้า และไม่มีความสุขกับมันเลยทั้งๆ ที่เราพยายามมานานมาก เพื่อจะไปโอลิมปิก อารมณ์ ณ ตอนนั้น อาจเป็นเพราะปีที่ผ่านมามันเหนื่อยมาก ร้องไห้หนักมาก ท้อแท้ จนคิดจะทิ้งโอลิมปิก แต่พอแข่งจบได้พักได้กลับมาหาครอบครัว หาเพื่อน ห่างจากการขี่ม้า ความรู้สึกเราดีขึ้น"
"ตอนนี้คือดีใจมากที่ทำได้ตามฝันของตัวเอง กว่า 21 ปีที่ขี่ม้ามา โอลิมปิกคือฝันสูงสุดที่อยากจะทำให้เป็นจริง ต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมถอดใจ และทิ้งความฝัน ขอบคุณครอบครัวโค้ช กรูม และทุกคนที่คอยผลักดัน เป็นกำลังใจให้ หากมีแค่ปรีดิ์คนเดียวเราคงมาได้ไม่ไกลขนาดนี้ และที่ขาดไม่ได้คือแม็กซ์วิน ที่ให้การสนับสนุนปรีดิ์มาตลอด ทั้งซื้อม้า สนับสนุนงบเดินทางไปแข่งขัน จนทำได้ตามเป้าหมายที่สูงสุดของนักกีฬาคนหนึ่งพึงจะทำได้"
"หลังจากนี้ต้องกลับไปแข่งกับม้าตัวใหม่ คือ ดีไลล่า ที่ทางแม็กซ์วินซื้อให้เพื่อใช้สำหรับการแข่งขันโอลิมปิก ดีไลล่าเป็นม้าที่มีศักยภาพสูงกระโดดได้ 160 ซม. แต่เพราะเราเพิ่งจะซ้อมมาด้วยกันไม่กี่เดือน ต้องทำความรู้จัก หาสนามใหญ่ๆให้แข่งเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อทำให้โอลิมปิกครั้งนี้ออกมาให้ดีที่สุด"
กว่า 21 ปีบนเส้นทางกีฬาขี่ม้า "ปรีดิ์อัญ" ชนกภรณ์ การุณยธัช ได้เดินทางมาถึงปลายฝันอย่างที่ตั้งหวัง แต่ระหว่างทางที่เดินมานั้นเต็มไปด้วย "บททดสอบ" ที่พร้อมจะทำให้นักขี่ม้าสาวถอดใจ ทอดทิ้งความอดทนไว้ระหว่างทาง แต่ "ปรีดิ์อัญ" ก็ผ่านมันมาได้จนก้าวไปสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการขี่ม้าไทย !!!