ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ พร้อม ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช แถลงตอบโต้กรณีถูกเขียนบัตรสนเท่ห์ร้องเรียน ปฎิบัติหน้าที่ไม่ชอบธรรม เผย 11 ประเด็นที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นความจริง ปัดไม่เคยนำเงินจากกองทุนฯที่ใช้ในการสนุนสมาคมกีฬาและนักกีฬาไทย ไปให้องค์กรกีฬานานาชาติ อย่าง อิฟม่า ยันตนเองไม่มีอำนาจหน้าที่ในการตัดเงิน ลดเงิน สมาคมกีฬาต่างๆที่ทำเรื่องขอรับการสนับสนุนเข้ามา
ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ พร้อมด้วย ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช หรือ “ทนายกระดูกเหล็ก” ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่มีบัตรสนเท่ห์ กล่าวหา ผู้จัดการกองทุนฯ ปมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวม 11 ข้อหา ที่ห้องประชุม กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หัวหมาก เมื่อ 9 มี.ค. 66
ดร.สุปราณี คุปตาสา เผยถึงสาเหตุของการแต่งตั้ง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เข้ามาทำหน้าที่ส่วนตัวให้ตัวเองว่า เป็นเพราะตนเองถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม จากกรณีถูกยื่นบัตรสนเท่ห์ ที่ผ่านมาตนเองได้เดินทางไปชี้แจงกับคณะกรรมธิการกีฬา (กมธ.กีฬา) แล้ว โดยใช้เวลาเกือบ 3 ชม. อธิบายถึงประเด็นต่างๆที่ได้มีการร้องเรียนเข้ามา โดยเฉพาะประเด็นที่อนุมัติเงินให้สหพันธ์มวยไทยนานาชาติ (อิฟม่า) กว่า 300 ล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งตนได้ชี้แจงไปแล้ว และขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
ดร.สุปราณี เผยอีกว่า เรื่องของการจัดสรรงบประมาณและจ่ายเงินรางวัลให้กับสมาคมกีฬาต่างๆ ตนไม่ใช่คนตัดสินใจ ซึ่งตนในฐานะผู้จัดการกองทุนฯ มีหน้าที่เป็นแค่คนนำเสนอ เพื่อนำเรื่องเข้าคณะอนุกรรมการกลั่นกรองพิจารณาเงินรางวัล ตามมาตรา 43 และไม่ได้มีอำนานหน้าที่ในการจะตัดหรือไม่ตัดงบโครงการต่างๆที่มีการยื่นเข้ามาแต่อย่างใด ซึ่งนี่คือสิ่งที่ไม่ยุติธรรมจากที่ตนเองโดนกล่าวหา
ด้าน ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เปิดเผยว่า เมื่้อวันที่ 30 พ.ย.2565 ได้มีผู้ใช้นามว่า ผู้ร้องทุกข์ ยื่นบัตรสนเท่ห์ ไม่ระบุชื่อ ต่อ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวหาว่า ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานอันมิชอบของ ดร.สุปราณี รวม 11 ข้อหา ซึ่ง กกท. ได้รับเรื่องร้องเรียน และบัตรสนเท่ห์ ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ก่อให้เกิดความเสียหาเป็นวงกว้างต่อ ดร.สุปราณี ทั้งชื่อเสียง และวงศ์ตระกูล ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบและต้องการดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลและเอกสารอันเป็นเท็จต่อไป
ทนายกระดูกเหล็ก ชี้แจงต่ออีกว่า จากกรณีร้องเรียนดังกล่าว ตนเองจะขอชี้แจงกฎระเบียบการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนฯ ซึ่งถูกว่าจ้างโดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เพราะฉะนั้น ดร.สุปราณี เป็นลูกจ้างของกองทุนฯ ไม่มีอำนาจอนุมัติเงิน ส่วนเงินจากกองทุนฯ จะถูกส่งต่อไปยังกองคลังกองทุน ซึ่งภายใต้การบริหารของ กกท. โดยมีผู้ว่า กกท. เป็นผู้จ่าย ดังนั้น ดร.สุปราณี ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในเงินดังกล่าว เพราะการจ่ายเงิน คลังกองทุน (กกท เบิกจ่าย) จะจ่ายก็ต่อเมื่อเอกสารหลักฐานถูกต้องเท่านั้น
"ส่วนเรื่องคิกบ็อกซิ่ง เรื่องแผนงานงบประมาณการสนับสนุนจากกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2566 มีงบประมาณ 36,700,658 บาทไม่ใช่งบมหาศาล โดยน้อยกว่าอีกหลายสมาคมและทุกอย่างต้องผ่านขั้นตอนการขอรับเงินสนับสนุนตามระเบียบ ด้านผลประโยชน์ทับซ้อน คิกบ็อกซิ่งที่เป็นข่าวอ้างว่าบริษัทเครือญาติเข้ามารับงาน ข้อเท็จจริงคือ ทางบริษัท ก. ไม่ได้รับงานและเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ แต่รับเงินโดยตรงจากสมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย บริษัท ก เพียงแค่ได้รับการติดต่อให้ดูแลในส่วนของนักกีฬาต่างชาติ ที่เดินทางมาร่วมแข่งขันศึกชิงแชมป์เอเชีย ซึ่งนักกีฬาใช้เงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเงินกองทุนฯ และได้มาว่าจ้างบริษัท ก มาประสานงานเกี่ยวกับจัดหาโรงแรม ที่พัก รถรับส่งไปกลับสนามบินและที่พัก"
"มูลเหตุจูงใจของการเขียนบัตรสนเท่ห์ คือ การโกงเงินนักกีฬาของสมาคมบางสมาคม เมื่อปี 2562 ซึ่งเมื่อนักกีฬาโดนเอาเปรียบ กองทุนฯ มีมติหาทางแก้ไข 3 ครั้งว่า ให้โอนเงินไปให้นักกีฬาโดยตรง โดยผู้ว่าการกกท.ที่เป็นเลขาธิการ ก็เห็นด้วย ซึ่งก็จะทำให้นักกีฬาได้รับเงินแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย 10 ก.พ.2565 ทำเรื่องไปถึงผู้ว่ากกท.ให้ช่วยดำเนินการจ่ายเงินให้นักกีฬาโดยตรง อย่างไรก็ตามได้รับการต่อต้านสมาคมบางสมาคมอย่างรุนแรง ก่อนจะมีการปรับเปลี่ยนระบบเบิกจ่ายอีกครั้ง"
"เอกสารทั้งหมดที่นำมาชี้แจงในรอบนี้ จะถูกส่งให้กับคณะอนุกรรมการติดตามการใช้เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ตรวจสอบในประเด็นต่างๆที่โดนกล่าวหา คณะดังกล่าว ถือว่ามีองค์ประกอบที่สำคัญ ทั้งผู้แทนกรมบัญชีกลาง, สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง ตรวจสอบต่อไป รวมถึงจะนำส่งไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ต่อไป" ทนายอนันต์ชัย กล่าว