ในบรรดาเสือหมอบทั้งหมดของ Cervélo มีอยู่หนึ่งรุ่นที่ได้สร้างชื่อเสียงและมีนักปั่นทั้งในอดีตและปัจจุบันรู้จักมากที่สุด นั่นคือ Soloist และปีนี้ Soloist กลับมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่และเป็นความภาคภูมิใจของ Cervélo ที่ได้ออกแบบให้เฟรมมีน้ำหนักเบา มีความสติฟฟ์มาก ตอบสนองต่อแรงที่ส่งลงไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ด้วยความชาญฉลาดของวิศวกรจึงมีการลำดับการวางเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ที่สลับซับซ้อน จึงทำให้ Soloist แม้จะมีความสติฟฟ์สูง แต่ยังคงความนุ่มนวลไว้ได้
ถ้ามองย้อนกลับไป เหตุผลที่ Soloist ได้รับความนิยมอย่างมาก และกลายเป็นเสือหมอบคู่ใจของนักแข่งใช้ในลงแข่งขันในรายการระดับแกรนด์ทัวร์ โดยโปรทีมระดับโลก เช่น CSC และอีกหลายๆ ทีมที่เลือกใช้ ซึ่ง Soloist ก็ได้นำพานักแข่งมืออาชีพเหล่านั้นไปสู่เส้นชัย คว้าแชมป์ในหลายๆ รายการ ในตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะการออกแบบ ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นทศวรรษ ปี ค.ศ. 2000 โดยใน Generation แรกๆ ของ Soloist ที่ได้ถือกำเนิดขึ้น จากปรัชญาในการออกแบบ คือ เป็นเสือหมอบที่มีความแอโรไดนามิค (ออกแบบตามหลักพลศาสตร์) และให้นักแข่งใช้เพื่อการเบรกอะเวย์ หนีจากกลุ่มเปโลตอง !! ซึ่งการที่จะมีนักแข่งหรือใครซักคนระเบิดกลุ่มแล้วยิงหนี ฉีกกลุ่มออกมาขึ้นนำได้ ต้องใช้จังหวะการช่วงชิง ไหวพริบและพลังกำลังในทำเช่นนั้น แต่ถ้าขาดอาวุธคู่มือหรือเสือหมอบคู่ใจ มาช่วยผสานเพื่อแหวกลมให้กลายเป็นผู้นำ และคว้าชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ Cervélo ได้วางตัว Soloist ไว้เพื่อสิ่งนี้ !!
นอกจากนี้ยังถูกออกแบบให้เป็นเสือหมอบคันเดียว ใช้สำหรับทุกการแข่งขัน ตั้งแต่รายการไครทีเรียมระยะสั้น การแข่งเสือหมอบระยะกลาง หรือแม้กระทั่งแข่งระยะไกล Time Trials (ใครจะคิดว่า Cervélo ในเวลานั้นก็มีแนวคิดในการกลับหลักอาน เพื่อเปลี่ยนองศาท่านั่ง จากเสือหมอบธรรมดาๆ ให้มีความใกล้เคียงกับรถประเภท Time Trials มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษยุคปี ค.ศ. 2000)
สืบสานตำนานจากแชมป์สู่แชมป์
นี่เป็นเวลาสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะได้สืบสานตำนานและกลิ่นอายจากแชมป์ในอดีตสู่ปัจจุบัน ซึ่ง Soloist ไม่ได้แค่เหมาะสำหรับนักแข่งมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงนักแข่งสมัครเล่นใช้ลงแข่งสนุกๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ได้อีกด้วย โดยตัวเฟรมยังคงรักษาคอนเซ็ปต์เรื่องน้ำหนักเบาและความเป็นแอโร ให้ประสิทธิสูงสุดตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อตอบโจทย์ว่า 'ใช่' ให้กับนักปั่นอย่างแท้จริง โดยที่ Soloist มีน้ำหนักมากกว่า Cervélo S5 ที่โปรทีมนักแข่งมืออาชีพใช้ เพียงแค่เส้นผม แต่ให้ความแอโรไดนามิคมากกว่า Cervélo R5 ที่เน้นการคว้าชัยในสเตจการแข่งขันบนเทือกเขาสูง
เฟรมแอโร ซ่อนสาย แต่ง่ายในการปรับเปลี่ยน
หนึ่งในจุดเด่นของ Soloist คือ ประกอบง่าย อัพเกรดชุดเกียร์ได้อย่างง่ายดาย ตัวเฟรมรองรับทั้งการใช้เกียร์ไฟฟ้าอิเลคทรอนิกส์และเกียร์สายกลไกดั้งเดิม ซึ่งข้อดีคือสามารถสลับสับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายมาก !!
Soloist เป็นเฟรมแอโรที่มีเส้นสายเคเบิ้ลต่างๆ ถูกซ่อนอยู่ภายในตัวเฟรม แต่ที่พิเศษยิ่งไปกว่ารุ่นอื่นๆ คือสายเคเบิ้ลที่ซ่อนในเฟรมนั้น ใช้การร้อยสายผ่านฝาครอบถ้วยคอแทน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การปรับเปลี่ยนความยาวของสเต็มทำได้ง่าย เมื่อเทียบกับเสือหมอบที่ใช้แฮนด์ทิเกรด ที่เมื่อต้องการเปลี่ยนแฮนด์หรือเปลี่ยนความยาวสเต็ม ก็จำเป็นต้องรื้อสายเบรคออกและไล่ลมระบบเบรคใหม่ ซึ่งการไล่ลมเบรกนั้น ถ้าไม่ใช่ช่างจักรยานผู้ชำนาญและมีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วนก็เป็นเรื่องยุ่งยาก อีกทั้งการไล่ลมเบรกที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะทำเกิดอันตรายจากการเบรคไม่อยู่อีกด้วย
นอกจากนี้ การที่นักปั่นและสมาชิกอื่นๆ ในทีมใช้ Soloist รุ่นเดียวกัน ไซส์เดียวกัน แต่ใช้สเต็มยาวไม่เท่ากัน ก็จะเป็นเรื่องง่ายในการปรับเปลี่ยนไปใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน และยิ่งไปกว่านั้นคือในกรณีที่ต้องการเดินทางแล้วนำ Cervélo Soloist คู่ใจคันนี้ไปด้วย ก็จะเป็นเรื่องง่ายดาย สำหรับการถอดแยกเพื่อจัดแพ็คลงกล่องหรือกระเป๋าจักรยาน เมื่อเทียบกับเสือหมอบคันที่ใช้แฮนด์อินทิเกรด (สเต็มกับแฮนด์เป็นชิ้นเดียวกัน) จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากๆ เพราะแฮนด์แบบอินทิเกรดนั้น สายเบรกจะถูกยึดติดกับแฮนด์ไปด้วย ยิ่งเป็นระบบเบรกไฮโดรลิค ระบบน้ำมันยิ่งยุ่งยาก เพราะเมื่อประกอบกลับจะต้องไล่อากาศในสายใหม่ทุกครั้ง
ดูเหมือนเสือหมอบตัวแข่ง แล้วก็ปั่นเหมือนเสือหมอบตัวแข่ง
Soloist ได้รับการถ่ายทอด DNA จาก Cervélo R5 ที่โดดเด่นในเรื่ององศาท่านั่ง (Geometry) และการควบคุม โดยโปรนักแข่งและนักปั่นหลายคนติดใจและชื่นชอบในความเป็น R5 ที่ให้ความเสถียรและมั่นคง มีความสมดุลและการถ่ายเทน้ำหนักที่ดีเยี่ยม เมื่ออยู่ในสเตจเขา ซึ่งไม่เพียงแค่ปั่นขึ้นเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการปั่นลงเขาที่ความเร็วสูงด้วยเช่นกัน ซึ่ง R5 นั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม และทั้งหมดที่ว่ามานี้ ก็มีอยู่ใน Soloist แล้วด้วยเช่นกัน
เร็วเหมือน S5 เบาเหมือน R5
Cervélo S5 และ R5 คือ สองเสือหมอบที่นำทีม Jumbo-Visma ไปคว้าชัยชนะจากรายการแกรนด์ทัวร์ระดับโลกในปี ค.ศ. 2023 มาได้ทั้ง 3 รายการ แต่ถ้าคุณไม่ได้ลงแข่งขันบ่อยๆ หรือต้องการลงแข่งเฉพาะในรายการที่คุณชื่นชอบ และส่วนใหญ่ต้องการออกทริปปั่นสนุกๆ กับเพื่อนๆ ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งทางราบและขึ้นเขา ถ้าจะว่ากันตามจริง Soloist จะดูเหมาะสมและลงตัวกว่า อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดวิชาและประสิทธิภาพด้านความเร็วและความฉับไวมาจาก S5 อีกทั้งยังขึ้นเขาได้ดีเปรียบเป็นเงาตามตัวเหมือน R5
ถ้าเรามาดูกันที่น้ำหนัก Soloist จะมีน้ำหนักมากกว่า R5 แค่ 250 กรัม แต่เบากว่า S5 แค่ 250 กรัม ส่วนในด้านความเร็ว Soloist ก็ช้ากว่า S5 เพียง 190 กรัม แต่เร็วกว่า R5 ไป 126 กรัม (Cervélo มีวิธีเปรียบเทียบความเร็วคล้ายๆ กับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นหรือน้อยกว่า) และด้วยสมการนี้จึงทำให้ Soloist จึงเป็นคำตอบที่ “ลงตัว” สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะเลือก S5 หรือ R5 กันแน่
ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักปั่น
เพื่อตอบโจทย์ให้กับความต้องการที่หลากหลายของนักปั่น ทั้งลงแข่งขันและปั่นท่องเที่ยวสนุกๆ ข่าวดีคือ Soloist สามารถรองรับยางได้ถึง 34mm. ซึ่งนุ่มเหลือเฟือสำหรับการปั่นสบายๆ จิบกาแฟในวันหยุด และหน้ากว้างเพียงพอสำหรับการยึดเกาะกับเส้นทางในสไตล์แอดเวนเจอร์นิดๆ
ลงถนนทดสอบจริง
ได้มีโอกาสนำเจ้า Cervélo Soloist ไปทดสอบจริง ในช่วงสั้นๆ ระยะทางราวๆ 20 กิโลเมตร โดยในการทดสอบทุกครั้ง จะไม่มีคาดหวังอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้ตัวรถ ตัวเฟรม ตัวอุปกรณ์แสดงความสามารถออกมาให้ได้เต็มที่ ซึ่งโจทย์ในการทดสอบมี 4 เงื่อนไขคือ Comfort, Control, Cornering และ Stiffness และผลที่ได้ จากการทดสอบบนถนนเฉลิมกระเกียรติ ร9. และภายในสวนสาธารณะที่ให้จักรยานเข้าไปปั่นได้ สรุปได้ดังนี้
Control & Cornering: เป็นรถที่ขี่ง่ายมาก ควบคุมง่าย ขี่ได้สบายๆ ไม่รู้สึกถึงการเกร็งหรือฝืนตัว เมื่อสถานะการณ์ที่ค่อนข้างยาก เช่น การควบคุมรถบนเส้นทางที่คดเคี้ยว ซอกแซก รถติดจากการจราจร ควบคุมได้อย่างที่ใจต้องการ
Comfort: เป็นรถที่นุ่มแบบไม่น่าเชื่อ เมื่อดูจากรูปทรงที่ค่อนข้างดุดัน แม้จะผ่านรอยต่อและเส้นตัวหนอน
Stiffness: เมื่อทดลองสปริ้นท์จาก 0-100 เมตร ผลที่ได้คือพุ่งออกไปในแบบที่น่าพอใจ ไม่ถึงขนาดมีแรงฉุดกระชากเช่นเดียวกับรถแข่ง แต่อย่างน้อยก็กระชากฉีกหนีกลุ่มเพื่อนๆ หรือกลุ่มเปโลตองได้แบบสบายๆ อย่าลืมว่า ล้อในการทดสอบเป็นล้อติดรถมาในแบบ Complete Bike ก็ยังทำได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าได้ล้อคาร์บอนดีๆ สักชุด น่าจะทำให้จังหวะการสปริ้นท์สนุกกว่านี้อีกมาก
โดยสรุปคือ เหมาะกับทุกคนจริงๆ คันเดียวครบเครื่อง มือใหม่ก็ขี่ง่าย มือเก่ามือกลางๆ ก็น่าจะชอบ คันเดียวจบ คิดอะไรไม่ออกเลือก Cervélo Soloist รับประกันไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
เรื่อง: พัสกร ปลอดโปร่ง