10.13 วินาที คือ เวลาวิ่งครั้งแรกบนเวทีโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกของเด็กหนุ่ม วัย 18 ปี ซึ่งก็เกิดขึ้นในการลงแข่งขันรอบแรก ของฮีตที่ 4 แม้ไม่ทำลายสถิติของตัวเอง ทำเอาไว้ 10.06 วินาที ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่สาธารณประชาชนจีน แต่ก็ดีพอเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
เวลาดังกล่าว ดีพอที่จะทำให้ ภูริพล ติด 1 ใน 3 ของกลุ่ม ซึ่งในรอบแรก แบ่งการแข่งขันออก 8 กลุ่ม คัดเอานักวิ่งที่จบ 3 อันดับแรก จากทั้งหมด 8 กลุ่ม รวม 24 คน และนักวิ่งที่ทำเวลาดีที่สุดอีก 3 คน ที่ไม่ได้จบ 3 อันดับแรก รวมแล้ว 27 คน เข้าไปแข่งขันในรอบรอบชนะเลิศ ซึ่งจะถูกซอยแบ่งออกอีกเป็น 3 ฮีต
การผ่านรอบแรกของ "บิว" เข้าไปแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ นับว่าเป็นการจารึกหน้าประวัติศาสร์ใหม่ให้กับวงการกีฑาไทยด้วย เพราะตั้งแต่สมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นมา ยังไม่เคยมีนักกรีฑาผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้เลยแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวกลายเป็นนักวิ่งไทยคนที่ 3 ที่ผ่านการแข่งขันในรอบแรกในกีฬาโอลิมปิก ต่อจาก อาณัติ รัตนพล ที่ทำได้ในโอลิมปิก 1976 ที่ประเทศแคนาดา และ สุเมธ พรหมณะ ที่ทำได้ในโอลิมปิก 1984 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้สองตำนานดังกล่าว ผ่านรอบแรกแล้วเช่นกัน แต่ต้องเข้าไปแข่งขันในรอบก่อนรองชนะเลิศ (Quarter Final) ต่อ แต่ ภูริพล ในครั้งนี้ ผ่านรอบแรกแล้วเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ (Semi Final)เลย จึงทำให้ ภูริพล เป็นลมกรดไทยคนแรกที่ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศวิ่ง 100 เมตรชายในโอลิมปิกเกมส์
จากยอดลมกรด 27 คน ในรอบชิงชนะเลิศ "บิว" ถือเป็นม้ามืด อีกหนึ่งคนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ โดยเจ้าตัว มีคะแนนเวิลด์แรงกิ้ง อยู่ในระดับ 56 ซึ่งก็นับอันดับโลกต่ำสุดลำดับที่สองที่ได้เข้ามาแข่งขัน ในรอบตัดเชือก โดย อับดุล ราชิด ซาไมนู จากกานา เป็นนักวิ่งคนเดียวที่มีอันดับต่ำกว่า ภูริพล โดยรั้งอันดับ 72 ของโลก
"บิว" ถูกจัดให้ออกสตาร์ตในฮีตที่ 3 ลู่วิ่งที่ 1 และถูกรายล้อมด้วยลมกรดระดับโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น อังเดร เดอ กราส จากแคนาดา เจ้าของเหรียญทองวิ่ง 200 ม.ชาย และเหรียญทองแดง วิ่ง 100 ม.ชาย ในศึกโอลิมปิกโตเกียว และเป็นเพื่อนสนิทรุ่นน้อง ของ ยูเซน โบลท์ ตำนานนักวิ่งตลอดกาล
นอกจากนี้ยังลงวิ่งฮีตเดียวกับ คีชาน ธอมป์สัน ตัวเต็งจาก จาเมกา ซึ่งเป็นผู้นำสถิติเวลาในปีนี้ ที่ 9.77 วินาที และยังมี เฟรด เคอร์ลีย์ แชมป์โลก 100 และ 200 ม. จากสหรัฐฯ ด้วย
ท่ามกลางผู้ชมในสนามสต๊าด เดอ ฟรองซ์ กรุงปารีส นับ 50,000 คน เสียงเชียร์อื้ออึง หลังสิ้นเสียงสัญญานออกตัว ลมกรดทั้ง 9 ช่องวิ่ง สับฝีเท้าเต็มกำลัง เพื่อเป้าหมายเส้นชัยที่ด้านหน้า
ภูริพล สู้เต็มที่เท่าที่ตัวเองจะทำได้ ก่อนเข้าป้ายอันดับที่ 9 ของฮีต เวลา 10.14 วินาที ไม่ดีเท่ากับการวิ่งในรอบแรกเมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้ และจบด้วยอันดับ 27 จาก จากนักวิ่ง 27 คน ที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้
อันดับ 27 จากนักวิ่งกว่า 102 คน จาก 81 ประเทศ ที่ผ่านเข้ามาลุยโอลิมปิกปารีส บวกกับสถิติของเด็กหนุ่มวัย 18 ทั้ง 2 รอบ ที่เพิ่งเริ่มตันนับหนึ่งกับเวทีโอลิมปิกไม่ได้แย่ มองอีกมุม บ่งบอกได้อย่างดีว่า โอลิมปิกเกมส์นั้นยากมาก และมีแต่ตัวตึงที่เป็นของจริง
หลังจบการแข่งขัน "บิว" ให้สัมภาษณ์ว่า เหมือนความฝัน และไม่คิดเหมือนกันว่าวันนี้จะได้มายืนอยู่บนเวทีโอลิมปิกเกมส์ เพราะหากย้อนไปเมื่อ 2 หรือ 3 ปีที่แล้ว ตนเองยังเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดา ที่อยากจะลงแข่งขันให้มากที่สุด และยังลงวิ่งรายการเล็กๆภายในประเทศอยู่เลย แต่การที่ลงแข่งแล้วชนะ บวกกับพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้เร็ว จึงทำให้ได้เข้ามาแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรก
"เวลาในรอบรองชนะเลิศ ไม่ดีเท่ากับรอบแรก ส่วนหนึ่งเพราะอาจจะตื่นเต้นครับ ได้วิ่งในบรรยากาศโอลิมปิกเกมส์แบบนี้ วิ่งกับคนเก่งๆระดับโลก มันก็จะมีเกรงๆไปบ้าง และก็คิดหลายอย่างเกินไป ทำให้ออกตัวได้ไม่ดีนัก จริงๆก็คิดว่าถ้าทำได้สมบูรณ์ตั้งแต่ออกตัวก็ยังคิดว่าน่าจะมีสถิติที่ดีกว่านี้ครับ แต่การรักษาสถิติวิ่งอยู่ในระดับ 10.1 ได้ ผมว่าก็น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้วครับ"
ภูริพล เผยว่า ประทับใจกับการได้มาสัมผัสบรรยากาศในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์รอบสุดท้าย และรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะคว้าเหรียญรางวัล เพราะสถิติการวิ่งบ่งบอกอยู่แล้วว่าถ้าอยากได้เหรียญ ก็ต้องวิ่งให้ต่ำกว่า 10 วินาที ซึ่งตนยังข้ามไปไม่ถึงขั้้นนั้น ส่วนหลังจากนี้อยากจะขอเวลาสัก 1 ปี เพื่อปรับเทคนิคต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะการออกตัว ยังทำได้ไม่เนียนนัก รวมถึงต้องสร้างพละกำลัง สร้างกล้ามเนื้อให้พร้อมใช้งาน
"ผมพยายามจดจำและเรียนรู้จากนักวิ่งระดับโลกที่ได้เห็นในโอลิมปิกเกมส์รอบนี้ครับ ช่วงวอร์มก่อนลงสนาม ก็พยายามชำเลืองดูเขา ว่าเขาเตรียมตัวอย่างไร วอร์มกันแบบไหน วอร์มนานแค่ไหน วอร์มท่าอย่างไร ซึ่งการได้มาโอลิมปิกรอบนี้ผมว่าเป็นอะไรที่เหนือกว่าที่คาดฝันไว้แล้วครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกลับมาแข่งขันบนเวทีนี้อีก ใน 4 ปีหน้าที่แอลเอ สหรัฐอเมริกา ครับ ก็อยากจะกลับมาขอแก้มือใหม่อีกรอบ และคิดว่าตอนนั้นทั้งร่างกาย จิตใจ และประสบการณ์ที่มีมากขึ้น ก็น่าจะพร้อมมากขึ้น และมีผลงานที่ดีขึ้นกว่านี้ครับ" ภูริพล ทิ้งท้าย