5 ปัจจัย "กิเลนผยอง" เมืองทอง แล่นฉิว!

5 ปัจจัย "กิเลนผยอง" เมืองทอง แล่นฉิว!
ท่ามกลางสมรภูมิที่หลายๆ สโมสรทุ่มทุนมหาศาลเพื่อคว้านักเตะไทย และต่างชาติเข้ามาเสริมแกร่งมากมาย ทว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด กลับยืนหยัดอย่างน่าเกรงขามบนหัวตาราง ไทยลีก 2024-25 ทั้งๆ ที่ถูกมองว่าเป็นรองทีมอื่นๆ ในหลากแง่มุม - การรั้งอันดับหัวแถวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และนี่คือ 5 ปัจจัยที่ทำให้กิเลนผยองแล่นฉิวในฤดูกาลปัจจุบัน!?

[ 1 ] จิโน่ เล็ตติเอรี่

   เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นสโมสรใหญ่ที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือ นั่นจึงทำให้ระบบของทีมค่อนข้างนิ่งและลงตัว แม้ว่าในช่วงต้นซีซั่น 2024-25 ฟอร์มการเล่นของพวกเขาจะไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ด้วยความบอร์ดบริหารยังเชื่อมั่นในตัว จิโน่ เล็ตติเอรี่ สุดท้ายผลตอบรับก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างชัดเจน

   กุนซือชาวอิตาลี ยังใหม่มากๆ สำหรับฟุตบอลไทย เพราะนี่คือครั้งแรกของเขาในทวีปเอเชีย แถมยังต้องมาเผชิญกับวัฒนธรรม, สังคมและอะไรต่อมิอะไรที่ตนเองไม่เคยพานพบมาก่อน

   โดยเฉพาะเรื่องของนักเตะในเกมรับที่ เมืองทอง แทบจะปรับใหม่แบบยกขบวนจากฤดูกาล 2023-24 เหลือเพียง ทริสต็อง โด รายเดียวเท่านั้น

   เล็ตติเอรี่ ค่อยแสดงฝีมือในการทำทีมทีละนิด แม้ช่วงแรกๆ จะตะกุกตะกักอยู่พอสมควร แต่เขายังให้สัมภาษณ์ในเชิงมั่นใจแบบเต็มเปี่ยมว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกทีมของตนเองเข้าใจในแท็กติก เมื่อนั้นกิเลนผยองจะโชว์ฟอร์มเก่งออกมาแน่นอน

   ภาพสะท้อนที่เฮดโค้ชวัย 58 ปี เคยกล่าวไว้เริ่มสัมฤทธิ์ผลตอนปลายปี 2024 ที่กับช่วงเก็บชัยในทุกรายการ 6 นัด ติดต่อกัน โดยเฉพาะการพาทีมบุกไปเชือด เซลังงอร์ 1-0 ก่อนจะคว้าตั๋ว เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 รอบน็อก-เอาต์ได้สำเร็จ

   เท่านั้นไม่พอ เมื่อนักเตะซึมซับกลยุทธ์ของ เล็ตติเอรี่ ได้มากขึ้น เปิดฉากปี 2025 เป็นต้นมา พวกเขาเดินหน้าชนะ 6 จาก 7 เกม กระทั่งก้าวขึ้นมารั้งอันดับอยู่บนหัวตารางได้อย่างมั่นคง

   นี่คือผลิตผลจากสิ่งที่กุนซือ เมืองทอง ได้วางรากฐานเอาไว้ และด้วยความที่พวกเขาเป็นสโมสรที่บริหารฟุตบอลโดยใช้แนวคิดและปรัชญาลูกหนังโดยแท้จริง ในอนาคตข้างหน้า ถ้าสามารถรักษามาตรฐานไปได้เรื่อยๆ โอกาสที่กิเลนผยองจะกลับมาคว้าแชมป์ ไทยลีก ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว

[ 2 ] โควตาต่างชาติตอบโจทย์

   ผู้เล่นต่างชาติของ เมืองทอง ในซีซั่น 2024-25 นั้นปรับใหม่ทั้งหมดจากฤดูกาลก่อนหน้านี้ ไล่ตั้งแต่ อี แช-ซอง (เกาหลีใต้), ฌอง-โคล้ด บีลลง (แคเมอรูน), สเตฟาน เชโปวิช (เซอร์เบีย), วิลเลียน พ็อพพ์ (บราซิล) และ โคตาโนะ โอโมริ (ญี่ปุ่น) นั้นไม่ได้ไปต่อด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

   ส่วนผู้มาใหม่มี อาลี ซิสโซโก้ (ฝรั่งเศส), เอมิล โรบัค (สวีเดน), เดนิส บุสน์ญ่า (โครเอเชีย), เฟลิซิโอ บราวน์ (เยอรมัน), อับบอส โอตาโคนอฟ (อุซเบกิสถาน), จอห์น-พาทริก สตร้าสส์ (ฟิลิปปินส์), สก็อตต์ วู้ดส์ (ฟิลิปปินส์), ยาค็อบ มาห์เลอร์ (สิงคโปร์) และ โรนัลโด้ ควาเต้ (อินโดนีเซีย) รวมไปถึง เมลวิน ลอเรนเซ่น ที่เพิ่งมาใหม่ในเลกที่สอง

   แม้ว่าจากรายชื่อข้างบนจำนวนครึ่งต่อครึ่งที่กิเลนผยองสามารถใช้งานได้จริง แต่ก็ถือว่าตอบสนองต่อแท็กติกที่ จิโน่ เล็ตติเอรี่ วางไว้ได้เป็นอย่างดี

   ซิสโซโก้ ในวัย 37 ปี เป็นแกนหลักให้กับแผงหลัง โดยเล่นได้ทั้งเซนเตอร์ฮาล์ฟและแบ็กซ้าย

   โอตาโคนอฟ อาจจะไม่โดดเด่น แต่สิ่งที่เขามีคือ 'ความชัวร์' เพราะในบทบาทปราการหลังตัวกลาง หมอนี่คือคีย์แมนที่ทำให้ เมืองทอง เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีก

   สตร้าสส์ ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่กับการเล่นได้สารพัดตำแหน่งในแนวรับ อีกทั้งยังมีความเข้าใจเกมสูง นี่ถือเป็นโควตาอาเซียน ที่คุ้มค่าสำหรับกิเลนผยองอย่างแท้จริง

   โรบัค อดีตแข้ง เอซี มิลาน ที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนหน้า ด้วยอายุเพียง 21 ปี ยังมีเวลาให้พิสูจน์ผลงานอีกเพียบ ซึ่งปัจจุบัน เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าห้ามประมาทแม้แต่เสี้ยววินาที

   บราวน์ อาจจะได้อยู่แค่เลกแรกเลกเดียว ทว่า 10 ประตู จาก 22 เกม ที่เขาทำได้นั้นก็ถือว่าน่าพอใจสำหรับช่วงเวลาสั้นๆ 

   ลอเรนเซ่น ผู้มาใหม่ แต่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงแฮตทริกไปแล้วในถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ

   พอโควตาต่างชาติทำผลงานได้ดี บวกกับกลุ่มผู้เล่นไทย ก็สอดประสานเข้ากัน และเมื่อทุกคนเรียนรู้แท็กติกของ เล็ตติเอรี่ ได้แบบลึกซึ้ง ผลที่ออกมาสะท้อนอยู่บนฟลอร์หญ้าทั้งหมด

[ 3 ] มีผู้เล่นหมุนเวียนและสลับสับเปลี่ยนกันได้

   ในฤดูกาล 2024-25 จิโน่ เล็ตติเอรี่ มีผู้เล่นที่ใช้งานเกิน 20 เกม อยู่ประมาณ 13 คน และเกิน 10 นัด อยู่ที่ 5 ราย เท่ากับว่าเป็นจำนวน 18 คน ที่เขามักจะส่งลงสนามแบบสม่ำเสมอ

   จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้กุนซือชาวอิตาลี สามารถโรเตชั่นได้แบบไม่ต้องกังวลใจมากนัก เพราะการหมุนเวียนนักเตะจะทำให้สภาพร่างกายของพวกเขามีความพร้อมที่จะห้ำหั่นกับการแข่งขันได้ระยะยาว

    ผู้เล่นที่เป็นแกนหลักของ เมืองทอง นั้นมีอยู่แล้ว แต่คนที่คอยสลับสับเปลี่ยนนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากต้องคอยทดแทนตามแต่สถานการณ์จะเกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ถือว่าแต่ละตำแหน่งของกิเลนผยองสามารถทำหน้าที่ไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก

   แบ็กขวา ทริสต็อง โด อาจจะไม่มีใครเบียดแย่งได้ เพราะทั้งฟิตปั๋งและแข็งแรงสุดๆ แต่ก็มีบางเกมที่ จอห์น-พาทริก สตร้าสส์ ขยับมาเล่นแทน

   ฝั่งซ้าย สตร้าสส์ จองเบอร์หนึ่ง โดยมี สก็อตต์ วู้ดส์ กับ สถาพร แดงสี คอยสลับในเลกแรก แต่พอเลกสองได้ จตุรพัช สัทธรรม เข้ามา ก็เพิ่มทางเลือกได้อีกราย โดยที่ อาลี ซิสโซโก้ ก็สามารถเล่นได้ไม่เคอะเขิน

   เซนเตอร์ฮาล์ฟ อับบอส โอตาโคนอฟ ยืนปักหลักคู่ ซิสโซโก้ โดยที่มี ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ คอยสแตนด์บาย และหมอนี่ก็โชว์ฟอร์มเด่นจนมีชื่อกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่ไปแล้ว

   แผงมิดฟิลด์ พิชา อุทรา เป็นตัวหลัก โดยที่มี สรวิทย์ พาทอง กับ วงศกร ชัยกุลเทวินทร์ หรือ สตร้าสส์ คอยเป็นคู่หู และล่าสุดก็ยังมี กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์ ที่ถูกปรับมายืนกองกลาง ก่อนจะโชว์ฟอร์มได้เจิดจรัสจนแทบจะยึดตำแหน่งตัวจริงอีกคน

   เท่านั้นไม่พอ ล่าสุดยังมี สิรดนัย โพธิ์ศรี สอดแทรกขึ้นมาอีกราย

   ส่วนบทบาทหมายเลข 10 คคนะ คำยก ได้โอกาสบ่อยกว่าใครเพื่อน และหมอนี่ก็จะเป็น 'ว่าที่' นักเตะ เจลีก คนต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

   ขณะที่แนวรุก ปรเมศย์ อาจวิไล นำทัพ พร้อมกับกำลังเสริมอย่าง เอมิล โรบัค, กรวิชญ์ ทะสา, ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท และ เมลวิน ลอเรนเซ่น 

    นอกเหนือไปจากการมีนักเตะมากมายให้เลือกใช้งาน เล็ตติเอรี่ ยังปรับจูนนักเตะหลายๆ รายให้เก่งขึ้นแบบชัดเจน ไล่ตั้งแต่ กษิดิ์เดช ที่ส่วนมากจะเล่นเป็นตัวรุกริมเส้น แต่พอถูกจับมายืนเป็นกองกลาง กลายเป็นว่าเขาเฉิดฉายกับการวางบอลแนวลึกที่แม่นยำ และมันนำมาซึ่งประตูของทีมในหลายๆ ครั้ง

   โรบัค ที่ออกสตาร์ตด้วยการเป็นปีกเช่นกัน แต่พอจับไปยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ปรากฏว่าไฉไลสุดๆ แต่ก็ยังต้องพยายามรักษาความสม่ำเสมอให้ได้มากกว่านี้ หากจะก้าวไปอีกระดับ

[ 4 ] หัวใจนักสู้

   ฤดูกาล 2024-25 เมืองทอง ลงสนามในทุกรายการรวมกันไปทั้งสิ้น 29 เกม (นับถึงวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์) แต่มีถึง 8 เกม ที่โดนนำไปก่อน แล้วพวกเขาตีเสมอและพลิกชนะได้สำเร็จ

   หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็นับว่าเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนแมตช์ที่แข่งขันทั้งหมด

   ภาพสะท้อนที่ออกมาคือเรื่องของ 'จิตใจ' ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางกั้น

   ตัวอย่างชัดเจนมากๆ คือ 2 เกม หลังสุดที่พวกเขาถูกคู่ต่อสู้ยิงประตูขึ้นนำไปก่อนในสถานการณ์ที่กดดันมากๆ 

   นัดแรกคือการไปเยือน ทุ่งทะเลหลวง สเตเดี้ยม สนามที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเจ้าถิ่นแพ้ยากเพียงใด แถมก่อนที่กิเลนผยองจะกรีธาทัพไปถึง - สุโขทัย เอฟซี ชนะในรังตนเอง 7 แมตช์ติดต่อกัน

   จอห์น บาจโจ้ ซัดสุดสวยให้ค้างคาวไฟออกนำแต่ไก่โห่ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างเข้าทางหมด โดยเฉพาะการได้เล่นเกมสวนกลับอย่างที่ถนัด  

   แต่แล้วจากการปลุกใจของ จิโน่ เล็ตติเอรี่ - เมืองทอง พลิกกลับมายิงแซงรวดเดียว 3 ประตู ก่อนบุกไปควัก 3 คะแนน ออกจากถิ่น สุโขทัย ได้สำเร็จ

   จากนั้นล่าสุด สดๆ ร้อนๆ กับการถูก เชียงราย ยูไนเต็ด รักษาสกอร์ 1-0 ได้จบครบ 90 นาที

   ทว่าในช่วงทดเวลาการแข่งขัน ธีระพล เยาะเย้ย และ อาลี ซิสโซโก้ ก็มาทำคนละหนึ่งประตู พาทีมพลิกแซงชนะกว่างโซ้งมหาภัยไปอย่างฉิวเฉียด 

   นี่เป็นเพียงสองเกมที่นักเตะกิเลนผยองแสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ จนกว่าเสียงนกหวีดจะสิ้นสุดลง

[ 5 ] สาวกกิเลนผยอง

   ปัจจัยสำคัญในโลกของฟุตบอลคือ 'กองเชียร์' เพราะเสียงของพวกเขาคือ 'พลัง' ในการขับเคลื่อนในหลากหลายมิติของวงการลูกหนัง

   นอกสนาม พวกเขาคือ 'ผู้สนับสนุน' ทั้งเรื่องของตั๋วเข้าชมเกมการแข่งขัน, ของที่ระลึกตามแต่ละสโมสร, ยอดติดตามผ่านทางโซเชียลมีเดียและอื่นๆ อีกมากมาย

   ในสนาม พวกเขาคือ 'แรงใจ' สุดสำคัญที่ทำให้นักเตะวิ่งแบบถวายหัว เพื่อที่จะสู้เพื่อแฟนๆ ของตัวเอง

   คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า เมืองทอง คือสโมสรที่มีแฟนฟุตบอล 'พันธุ์แท้' มากที่สุดในสยามประเทศ แม้จำนวนการชมเกมที่ ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม จะลดลงจากเมื่อหลายปีก่อนมากพอสมควร แต่ถ้าจะเอาผู้ชมที่เข้าสนามด้วยการไปดูการแข่งขันแบบจริงจัง 

   ยังไงก็ต้องเป็นสาวกกิเลนผยองนี่แหละที่เป็นคอลูกหนังแบบเข้มข้นถึงกึ๋น

   ไม่ว่าจะเล่นในบ้านหรือออกไปเยือน บรรดาแฟนฟุตบอลของ เมืองทอง ก็จะเกากลุ่มกันไปให้กำลังใจนักเตะแบบชิดติดขอบเส้น ต่อให้ไกลเพียงใด พวกเขาก็พร้อมจะบุกตะลุย

   ดังนั้นการที่มี 'เสียงเชียร์' คอยหนุนหลัง มันจึงทำให้นักเตะมีพลังแฝง จนสู้สุดใจเพื่อแฟนๆ และมันนำมาซึ่งชัยชนะในบั้นปลายนั่นเอง


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport