ฤดูกาล 2023-24 ถูกคาดการณ์ก่อนเปิดซีซั่นว่าจะเป็นปีที่ขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันสนุกที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอาชีพของเมืองไทย เพราะหลายๆ สโมสรต่างพัฒนาขึ้นเยอะมาก อีกทั้งการเสริมทัพก็ทำกันได้น่าดูชม
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 'เทรเบิ้ลแชมป์' 2 ฤดูกาลยังคงแข็งแกร่งทั่วทุกตำแหน่ง, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาช่วยเพิ่มมูลค่า แถมก๊วนผู้เล่นที่ยังอยู่ก็ระดับท็อปของลีก, การท่าเรือ เอฟซี เต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติไทย และรวมไปถึง แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่อาจจะขยับตัวน้อย แต่คุณภาพยังขับแก้วเหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนานวันเข้า โทรฟี่แชมป์ยิ่งขยับเข้าใกล้ ทรู สเตเดี้ยม ไปทีละนิด
ช่วงสุดสัปดาห์นี้ (23 ธันวาคม 2023) การแข่งขันก็จะเข้าสู่ แมตช์เดย์ ที่ 15 หรือครึ่งซีซั่นอย่างเป็นทางการ
คะแนนบนตารางบ่งชี้ชัดเจนว่า แบงค็อก มีโอกาสที่จะเดินหน้าสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของสยามประเทศ
จำนวนเกมเพียง 12 นัด แต่มีแต้มห่างอันดับ 2 อย่าง บีจี ปทุม อยู่ 4 คะแนน แถมยังแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์อีกต่างหาก นับได้ว่าพวกเขาถือไพ่เหนือกว่าทีมกระต่ายแก้วพอสมควร
ผลงานของบียูคือชนะ 10, เสมอ 2 และยังไม่แพ้ใครเลย ยิงได้ 26 เสียไป 5 ประตู ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมมากๆ
นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา พวกเขาเอาชนะคู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วยกันได้หมด ไม่ว่าจะ บีจี ปทุม หรือ การท่าเรือ ที่ต่างก็ถูก แบงค็อก เอาชัยไปด้วยสกอร์ 2-0 เหมือนกัน
นอกจากนี้ ในภาวะการณ์ที่ตีบตัน บียูก็มักจะคว้า 3 คะแนนแบบฉิวเฉียด เพราะยิงประตูในช่วงท้ายเกมได้ประจำ ไล่ตั้งแต่การเอาชนะ เชียงราย ยูไนเต็ด 2-1 (โดนนำก่อน 0-1 และมายิงแซงในนาทีที่ 77 และ 90+1)
ชนะ ราชบุรี เอฟซี 3-1 (โดนนำก่อน 0-1 แต่ก็แซงรวดเดียวในนาทีที่ 85, 90+2, 90+8)
ชนะ ประจวบ เอฟซี 1-0 (ประตูเกิดขึ้นในนาทีที่ 84)
และล่าสุดกับการบุกไปเฉือนชนะ ตราด เอฟซี 2-1 จากประตูชัยของ มะห์มู๊ด ไอด์ ในนาทีที่ 90+1
นี่มันคือฟอร์มของ "แชมป์" แบบชัดๆ ที่ไม่ว่าจะเล่นแย่เพียงใด แต่สุดท้ายก็มักจะเก็บ 3 แต้มได้เป็นประจำ
เครดิตชิ้นโตของผลงานที่เฉิดฉายเป็นจ่าฝูงเช่นนี้ต้องยกให้ ธชตวัน ศรีปาน ที่ค่อยๆ ปรับแต่งทีมจนลงตัวอย่างเห็น
ปฏิวัติ คำไหม เข้ามาแทนที่ ไมเคิ่ล ฟังเคสการ์ด ได้อย่างไร้ที่ติ แถมโดดเด่นจนก้าวไปติดทีมชาติไทย อย่างสม่ำเสมออีกต่างหาก
สุพรรณ ทองสงค์ กลับมาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมเคียงคู่ เอแวร์ตอน กัปตันทีมที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตนเองคือหนึ่งเซนเตอร์ฮาล์ฟต่างชาติที่เข้ามายกระดับฟุตบอลลีกสยามประเทศ
ฟูลแบ็กฝั่งขวา-ซ้าย นิติพงษ์ เสลานนท์, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, บุญทวี เทพวงศ์ และ วันชัย จารุนงคราญ สามารถทดแทนกันได้แบบไม่เคอะเขิน
แดนกลาง ก่อนที่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ จะบาดเจ็บ เขาทำผลงานได้เจิดจรัสมากๆ โดยมี ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร กับ ปกเกล้า อนันต์ เป็นสามประสานที่ไหลลื่นและลงตัวมากๆ
แนวรุก วิลเลน โมต้า ยิงประตูได้สม่ำเสมอ ขณะที่ มะห์มู๊ด ไอด์ ก็มักจะสอดมามีชื่อบนสกอร์อยู่บ่อยๆ แต่ที่เด็ดดวงที่สุดคือ รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก กับฟอร์มอันร้อนแรงจนกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งในวัย 31 ปี
นี่ขนาดว่า วานแดร์ ลุยซ์ อยู่ในห้วงเวลาพักรักษาอาการบาดเจ็บ รวมไปถึง บาสเซล จราดี้ และ อมาดู ซูกูน่า สองผู้เล่นโควตาต่างชาตินั้นยังอยู่ในช่วงปรับตัวกับ ไทยลีก ไม่เช่นนั้น แบงค็อก คงจะน่ากลัวขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า
ทว่าผลงานของทีมก็ยังเดินหน้าไปแบบไม่มีสะดุด
นี่คือสิ่งที่ ธชตวัน เพียรพยายามมาตลอด - เขาคือหนึ่งในโค้ชคนไทย ที่เก่งกาจที่สุดของวงการ ขอเพียงนักเตะเรียนรู้แท็กติกที่เขาถ่ายทอดออกไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่านั้น ที่เหลือจะค่อยๆ ตามมาเอง
ถ้าพวกเขายังเล่นด้วยมาตรฐานเดิมและไม่ประมาทคู่ต่อสู้จนเกินไปในช่วงที่เหลือของฤดูกาล 2023-24 รับประกันเลยว่าถ้วย ไทยลีก ที่รอคอยมาแสนนานอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
หากตัดแชมป์ลีกเมื่อปี 2006 (สมัยยังใช้ชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพ) ออกไป แล้วเริ่มนับที่ฤดูกาล 2007 ที่มีความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มตัว เท่ากับว่าผลงานที่ดีที่สุดของ แบงค็อก คือการได้รองแชมป์ เอฟเอ คัพ (2017 และ 2020-23) เท่านั้น
ตอนนี้มาถึงครึ่งทางฝันแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งเดียว สิ่งที่ทัพแข้งเทพปรารถนาก็จะสมหวังสักที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตนเองด้วยเช่นกัน เพราะในหน้าประวัติศาสตร์เก่าๆ ของพวกเขาก็มีหลายๆ ครั้งที่มักจะสะดุดเอาดื้อๆ จนค่อยๆ หลุดจากวงโคจรลุ้นแชมป์ไปแบบเงียบๆ
ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ซ้ำย้ำรอยเดิม เพราะเมืองไทย จะได้มีแชมเปี้ยนทีมใหม่อีกครั้ง
ที่สำคัญ การรอคอยที่ใกล้สิ้นสุดลงของ แบงค็อก จะได้ยุติเสียที
ชิกกะด้าว