แม้ว่าฤดูกาล 2023-24 เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะมีผลงานที่กระท่อนกระแท่น แต่ไม่ว่าคราใดที่ทั้งสองสโมสรเผชิญหน้ากัน มันเป็นมากกว่า 'เกมฟุตบอล' ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงขอรวบรวมเหตุผลว่าเหตุใดคุณจะไม่ควรพลาด 'บิ๊กแมตช์' ในวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคมนี้เป็นอันขาด!!
*** เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม เวลา 18.00 น. ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม ถ่ายทอดสดทาง AISPLAY, TrueVisionsNow และ 3BB GIGA TV ***
[ 1 ] แชมป์ชนแชมป์
นับตั้งแต่ ไทยลีก เริ่มเป็นฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัวในปี 2007 มีเพียงไม่กี่สโมสรที่สามารถก้าวไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ทีมที่เคยได้สัมผัสโทรฟี่อันทรงเกียรติมี ชลบุรี เอฟซี, การไฟฟ้า, เมืองทอง ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เชียงราย ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เท่านั้น
ในจำนวน 6 สโมสร (ไม่นับ การไฟฟ้า ที่ภายหลังถูกควบรวมมาเป็น บุรีรัมย์) มีแค่ 2 ทีม เท่านั้นที่เคยคว้าแชมป์มากกว่า 1 สมัย นั่นคือ เมืองทอง และ บุรีรัมย์
กิเลนผยองผงาดสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ได้ 4 ครั้ง ในฤดูกาล 2009, 2010, 2012 และ 2016 ขณะที่ปราสาทสายฟ้าที่อาจจะมาทีหลัง แต่พวกเขาประสบความสำเร็จไปถึง 8 สมัย (2011, 2013, 2014, 2015, 2017, 2018, 2021–22, 2022–23)
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทั้งสองสโมสรกลายเป็น 'คู่แค้น' ไปโดยปริยาย เพราะต่างฝ่ายต่างขับเคี่ยวชิงชัยกันอย่างเมามัน แม้ระยะหลัง บุรีรัมย์ จะรักษามาตรฐานได้ต่อเนื่อง ส่วนฝั่ง เมืองทอง ผลงานตกลง ทว่าไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อใด เกมนี้ก็เหมือนศึก 'แชมป์ชนแชมป์' ทุกครั้งไป
[ 2 ] ธีราทร บุญมาทัน
วิทยา เลาหกุล และ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน คือนักเตะไทย ที่ไปประสบความสำเร็จในการค้าแข้งต่างประเทศ ซึ่งทั้งคู่ก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับ 'ตำนาน' ของสยามประเทศ
ผู้เล่นจากดินแดนสุวรรณภูมิหลายรายเริ่มทยอยออกไปโลดแล่นในลีกมาตรฐานสูง ทว่าคนที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น ธีราทร บุญมาทัน กองหลังชาวนนทบุรี ที่ไปประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ เจลีก ร่วมกับ โยโกฮามะ มะรินอส
แน่นอนว่าจากผลงานที่แสดงให้ชาวเอเชีย ได้เห็นเป็นประจักษ์ เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ประเทศไทย เคยมีมา
นอกเหนือไปจากความสำเร็จในอาชีพ อีกสิ่งหนึ่งที่ ธีราทร สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งปฐพีคือการที่เจ้าตัวเคยเล่นให้ทั้ง บุรีรัมย์ และ เมืองทอง
การย้ายจาก ช้าง อารีน่า สู่ ธันเดอร์ โดม สเตเดี้ยม เมื่อปี 2016 ครองพื้นที่หน้าหนึ่งของสื่อกีฬาทุกสำนัก เพราะเขาเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของปราสาทสายฟ้า แต่กลับเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดงเข้มให้กิเลนผยอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธีราทร คือนักเตะที่แฟนๆ ทั้งรักทั้งชัง ด้วยบุคลิกและสิ่งที่แสดงออกในสนาม แต่แม้ว่าจะถูกวิจารณ์เพียงใด เขาก็คือผู้เล่นที่ทุกคนต่างโค้งคารวะในความเก่งกาจระดับทวีป
ดังนั้นการกลับมาเยือนถิ่นเก่าของเขาในวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคมนี้ คงจะได้เห็นเหล่ากิเลนผยองให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเคย
[ 3 ] สีสันกองเชียร์
นี่คือการพบกันของ 2 สโมสรที่มีแฟนฟุตบอลติดตามมากที่สุดในประเทศ
สิ่งแรกที่วัดได้ว่าพวกเขามี 'สาวก' เยอะกว่าใครๆ มาจากยอดผู้ชมในสนามที่มากันล้นหลามในทุกๆ เกมที่เล่นในบ้านตัวเอง
เท่านั้นไม่พอ เวลาปราสาทสายฟ้าหรือกิเลนผยองออกไปเยือน แฟนๆ ก็ยังคงตามไปเชียร์ จนแทบทุกครั้ง อัฒจันทร์ฝั่งอาคันตุกะเต็มความจุอยู่เสมอ
สิ่งที่สองคือยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ เฟซบุ๊ก (Facebook) ที่ เมืองทอง ยืนหนึ่งในสยามประเทศกับตัวเลข 2.38 ล้านคน ขณะที่ บุรีรัมย์ ก็ตามมาติดๆ ที่ 2 ล้านคน
จาก 2 สิ่งข้างต้น จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใด บุรีรัมย์ เจอกับ เมืองทอง ทีไรจึงเป็นแมตช์ที่ทั่วทั้งประเทศให้ความสนใจอย่างมาก
สิ่งที่สาม สีสันการแซวกันระหว่างทั้งสองสโมสรก็มักจะมีอะไรให้ติดตามเสมอ โดยเฉพาะป้ายข้อความที่แฟนๆ มักจะเขียนหยอกล้อกันเป็นประจำ ซึ่งมีความหนัก-เบา แล้วแต่สถานการณ์ในห้วงเวลานั้นๆ
นี่คือ 'สีสัน' ของฟุตบอลไทย อย่างแท้จริง
[ 4 ] ใครแพ้มีสิทธิ์ฟอร์มบู่ต่อเนื่อง
ฤดูกาล 2023-24 เมืองทอง ออกสตาร์ตได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะถึงขั้นต้องเปลี่ยนกุนซือจาก มาริโอ ยูรอฟสกี้ มาเป็น อุทัย บุญเหมาะ แถมล่าสุดยังต้องขยับ มิลอส ย็อคซิช เทรนเนอร์ชาวเซอร์เบีย มาช่วยคุมทัพ
11 นัด ใน ไทยลีก พวกเขาแพ้ไปถึง 6 เกม แถม 5 แมตช์ หลังสุดยังปราชัยไปถึง 3 ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากต้องการทำอันดับให้ดีที่สุดเมื่อบั้นปลาย
ขณะเดียวกัน บุรีรัมย์ 'เทรเบิ้ลแชมป์' 2 ซีซั่นติดก็ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด สถานการณ์ในลีกมีแต้มตามหลังจ่าฝูง แบงค็อก ยูไนเต็ด 5 คะแนน แถมยังเสมอรวด 4 เกม โดยที่ยิงได้แค่ 2 ประตู เท่านั้น
นอกจากนี้ ในถ้วย เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปให้ไกลกว่าเดิมก็ส่อเค้าว่าจะฝืด เนื่องจากความพ่ายแพ้ต่อ เจ้อเจียง เอฟซี 2-3 ยังมีเรื่องการตะลุมบอนที่โด่งดังไปทั่วเอเชีย
จากผลงานของทั้ง 2 ทีม ในฤดูกาลปัจจุบัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการเป็น 'ผู้แพ้' ใน 'ซูเปอร์ บิ๊ก แมตช์' ของวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคมนี้ เพราะถ้าฝั่งใดพลาดท่า มันมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะฟอร์มบู่ต่อเนื่อง และมันคงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาปรารถนาอย่างแน่นอน
[ 5 ] เกมที่เป็นมากกว่าคำว่า 'ฟุตบอล'
จริงๆ แล้วทั้งสองสโมสรเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์อันดี กับการที่ เมืองทอง ซึ่งเป็นเจ้ายุทธจักรในช่วงที่ฟุตบอลไทย เริ่มมีกระแสติดลมบน ยอมปล่อยนักเตะเลือดเนื้อเชื้อไขบุรีรัมย์ ไปให้ปราสาทสายฟ้า ไล่ตั้งแต่ สุริยา ดอมไธสง (2009), จักรพันธ์ แก้วพรม (2010) และ อดิศักดิ์ ไกรษร (2011)
อย่างไรก็ตาม พลันที่ยอดทีมแห่งดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มก้าวเท้ามาแย่งความสำเร็จในปี 2011 แต่ในฤดูกาลนั้น ตอนที่รับแชมป์ พวกเขาส่งเจ้าหน้าทีไปรับโทรฟี่ ซึ่งเป็นเหมือนการฉีกหน้าสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในยุคนั้นเต็มๆ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ ก็เป็นเส้นขนานกัน
ด้วยความที่โลกของโซเชียลมีเดียเริ่มกว้างขวาง สงครามออนไลน์จึงเริ่มต้นและลามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาวกกิเลนผยองก็ไปแซวปราสาทสายฟ้าว่าเป็น 'กองเชียร์ข้าวกล่อง' หรือไม่ก็ 'กองเชียร์จัดตั้ง'
แน่นอนว่าเมื่อถูกกระทำ ย่อมมีการโต้ตอบ ซีซั่น 2014 ซึ่งเป็นปีที่ เมืองทอง ทำผลงานได้ย่ำแย่ แถมยังถูกยุยงโจมตีด้วยวลีเด็ด 'ซี่โครง' รวมไปถึง 'กี่โมง' จนสร้างความขุ่นเคืองให้แฟนๆ จากถิ่นแจ้งวัฒนะกันโดยทั่ว และว่ากันว่าจุดเริ่มต้นก็มาจากคู่แข่งตัวฉกาจนี่แหละที่จุดชนวน
เรื่องราวระหว่าง 2 สโมสรยังคงดำเนินต่อไป แม้ปัจจุบันกิเลนผยองจะอยู่ในช่วงปรับปรุงใหม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอม บุรีรัมย์ โดยง่าย เพราะนี่คือแมตช์แห่งศักดิ์ศรี และเป็นเกมที่คอลูกหนังชาวไทย ต่างตั้งหน้ารอดู
เมื่อใดที่ เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ เจอกัน ยังไงก็คุ้มค่าแก่การรับชม เพราะการเผชิญหน้าของคู่นี้ 'เป็นมากกว่าเกมฟุตบอล' เกมหนึ่ง