การท่าเรือ และสิ่งที่ต้องก้าวข้าม??

การท่าเรือ และสิ่งที่ต้องก้าวข้าม??
นับตั้งแต่ นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามาเทกโอเวอร์ การท่าเรือ เอฟซี เมื่อปี 2015 - ประธานสโมสรผู้เลอโฉมได้เนรมิตให้ยอดทีมแห่งย่านคลองเตยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

   นักเตะไทย ดีกรีทีมชาติค่อยๆ ตบเท้าเข้าสู่ แพท สเตเดี้ยม ทีละราย, โควตาแข้งนอกก็เป็นผู้เล่นคุณภาพที่สามารถยกระดับได้อย่างแท้จริง และแน่นอนว่าการที่มี 'มาดามแป้ง' เป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของสิงห์เจ้าท่าดูดีมีราศีขึ้นหลายเท่าตัว

   เมื่อบวกกับการที่เป็นสโมสรเก่าแก่ มีฐานแฟนคลับมหาศาล ไม่ใช่เพียงแค่ย่านคลองเตย หากแต่ยังรวมไปถึงคอลูกหนังอีกมากมายในหลายๆ พื้นที่ที่เป็นสาวก การท่าเรือ แบบสุดลิ่ม

   'ความคาดหวัง' จึงถูกตั้งขึ้นมาทันที

   สิงห์เจ้าท่าได้รับการคาดหมายจากสื่อทุกสำนักว่าจะก้าวขึ้นมาท้าชิงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ในสยามประเทศ ร่วมกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมไปถึง แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ก็รอวันผงาดมาแสนนาน

   ผลงานของพวกเขาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะนับตั้งแต่มี 'มาดามแป้ง' เป็นประธานสโมสร พวกเขาไม่เคยหลุดท็อปโฟร์ถึง 4 ซีซั่น 

   อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แฟนๆ ปรารถนานั้นคือ 'แชมป์' เท่านั้น โดยเฉพาะ ไทยลีก ที่ถวิลหาเป็นอันดับแรก ทว่ากลับมีเพียงโทรฟี่ เอฟเอ คัพ 2019 เท่านั้นที่นำกลับสู่ตู้โชว์ของ แพท สเตเดี้ยม

   กระทั่งถึงปัจจุบันกับการรั้งตำแหน่ง 'จ่าฝูง' ได้เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน 'ภาพฝัน' ของพวกเขาจึงเริ่มมีเค้าลางแห่งความจริงขึ้นมาบ้าง แม้จะแข่งมากกว่า แบงค็อก และ บุรีรัมย์ ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นการยืนอยู่ ณ จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าจะอยู่อันดับล่างๆ เป็นไหนๆ

   ทว่าสิ่งที่ การท่าเรือ จะต้องปรับโดยด่วน หากต้องการจะไปถึงจุดหมายที่ปลายทาง นั่นคือ 'เกมเยือน'

   ตัวอย่างชัดกระจ่างจากฤดูกาล 2022-23 ที่มีสถิติเวลาออกไปเล่นนอกบ้านที่ไม่ค่อยดีนัก กับตัวเลขชนะ 5, เสมอ 6 และแพ้ไป 4 นัด

   ย้อนกลับไปมากกว่านั้นอีกนิด ในซีซั่น 2021-22 พวกเขาไม่ชนะใครในเกมเยือนติดต่อกันนานถึง 8 เกม โดยเป็นความพ่ายแพ้ถึง 7 แมตช์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากๆ สำหรับทีมอย่าง การท่าเรือ ที่อุดมไปด้วยนักเตะชั้นนำของประเทศ

   กลับมายังฤดูกาลปัจจุบัน ดูเหมือนว่าอาถรรพ์นั้นจะยังคงอยู่ เพราะผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 ของการแข่งขัน สิงห์เจ้าท่าเก็บชัยไปได้ 6 นัด และแพ้ 2 เกม 

   สิ่งที่น่าสนใจคือความปราชัยทั้ง 2 แมตช์ นั้นเกิดขึ้นนอก แพท สเตเดี้ยม ทั้งหมด แถมผู้ที่หยุด การท่าเรือ ได้สำเร็จ ยังเป็นทีมในโซนท้ายตารางอย่าง ตราด เอฟซี และ สุโขทัย เอฟซี อีกต่างหาก

   จากผลงานที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ายอดทีมแห่งย่านคลองเตยมีปัญหาเรื่อง 'เกมนอกบ้าน' จริงๆ 

   มันช่างบังเอิญประจวบเหมาะเสียจริง เพราะหลังจากบุกไปแพ้ สุโขทัย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน ในถ้วย เอฟเอ คัพ รอบ 32  ทีม - สิงห์เจ้าท่าก็ต้องยกพลสู่ ช้าง อารีน่า โดยมี บุรีรัมย์ รอต้อนรับอยู่

   เจ้าถิ่นเองก็กำลังฟอร์มฝืด และที่สำคัญก็ไม่ต้องการทำลายสถิติไร้ชัย 5 นัดติดต่อกันในทุกรายการ ดังนั้นปราสาทสายฟ้าจึงเตรียมจัดชุดใหญ่ในการเผชิญหน้ากับคันตุกะจากเมืองกรุงอย่างแน่นอน

   ไม่ว่าทีมใดที่บุกมาที่นี่ก็ยากต่อการมีแต้มหรือได้รับชัยชนะกลับออกไป แต่นี่มาเจอ บุรีรัมย์ ในห้วงเวลาที่กำลังหลังชนฝาอีกต่างหาก ความยากจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

   แต่มองในอีกแง่หนึ่ง หากว่า การท่าเรือ สามารถผ่านไปได้ พวกเขาก็จะ 'ปลดล็อก' เกมเยือนได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจ ก่อนที่จะเริ่มต้นโปรแกรมสุดหฤโหดต่อจากนี้ที่ต้องพบ แบงค็อก (เหย้า), เชียงราย ยูไนเต็ด (เยือน), บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (เหย้า), ชลบุรี เอฟซี (เยือน) และกลับมาเจอ บุรีรัมย์ อีกครั้ง (เหย้า) 

   เท่านั้นไม่พอ ถ้าบุกชนะ บุรีรัมย์ ได้ มันจะทำให้ปราสาทสายฟ้ายิ่งตกลงไปอีก ซึ่งเหมือนตัดคู่แข่งโดยตรงไปอีกทาง

   การมี สุรพงษ์ คงเทพ และ โชคทวี พรหมรัตน์ เป็นกุนซือนั้นมาถูกทางแล้ว อย่าเพิ่งเปลี่ยนแม่ทัพดื้อๆ ในห้วงเวลาที่ทีมกำลังไปได้สวย อาจจะมีสะดุดอยู่บ้าง แต่ต้องอย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องปกติของฟุตบอล 

   ตอนนี้ทุกอย่างเดินหน้าไปในทิศบวก เหลือปรับแก้บางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการเล่นเป็น 'ทีมเยือน' ที่ต้องมีแต้มเป็นอย่างน้อย หากว่าสิงห์เจ้าท่าแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ได้ รับประกันเลยว่าถ้วยแชมป์อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกแล้ว

   นั่นคือสิ่งที่ การท่าเรือ ต้องก้าวข้ามให้ได้

ชิกกะด้าว

 


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport