การประกาศคว้าตัว ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา จาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 1 ปี ของ โอเอช ลูเวิน สโมสรในลีกสูงสุดของเบลเยียม ถือเป็นอีกหนึ่งนิมิตหมายอันดีของวงการลูกหนังไทย รวมไปถึงตัวนักเตะเองเช่นกัน
แนวรุกชาวศรีสะเกษ คือดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดแห่งสยามประเทศ ด้วยผลงานที่ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ จากหนุ่มน้อยสู่วัยรุ่นที่แนวรับต่างต้องครั่นคร้าม
พัฒนาการของ ศุภณัฏฐ์ เป็นไปในทิศบวก ร่างกายของเขาเติบโตแข็งแรง ฝีเท้ารุดหน้า และที่เพิ่มเติมคือประสบการณ์ในเกมระดับสูงที่สั่งสมมาตั้งแต่อายุยังน้อย
เรียกง่ายๆ ว่า 'เก๋าเกินวัย' นั่นเอง
ด้วยอายุเพียง 21 บวกกับความแก่กล้าสามารถ ไทยลีก ที่อาจจะกำลังไปได้สวย แต่สำหรับ ศุภณัฏฐ์ แล้ว การออกไปเผชิญโลกกว้าง น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
การย้ายสู่รั้ว เดน ดรีฟ ในครั้งนี้คือความท้าทายครั้งสำคัญของเด็กหนุ่มจากศรีสะเกษ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังมี 'ความหวัง' ของคนทั้งประเทศที่ปรารถนาจะเห็นความสำเร็จอีกต่างหาก
ก่อนหน้า กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เคยมาเล่นที่นี่เมื่อปี 2018 แต่ก็อย่างที่รับทราบโดยทั่วกัน ผู้รักษาประตูวัย 33 ปี ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งในทีมได้ และจากนั้นผลงานของเขาก็ค่อยๆ ดิ่งลงทีละนิด
แม้ว่า โอเอช ลูเวิน จะมีเจ้าของสโมสรเป็นคนไทย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักเตะจากดินแดนขวานทองจะได้อภิสิทธิ์เหนือผู้เล่นคนอื่นๆ เพราะที่ยุโรป นั้นวัดกันที่ผลงานล้วนๆ และนั่นแสดงว่าการผจญภัยของ ศุภณัฏฐ์ กำลังเริ่มนับหนึ่งแล้ว
หากฟุตบอลบ้านเราจะพัฒนาขึ้น มันต้องส่งออกแข้งสยามสู่ต่างแดนให้มากที่สุด ตัวอย่างใกล้ๆ ไม่ไกลเลยคือ ญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันพวกเขาขยับเข้าใกล้คำว่า 'ระดับโลก' ขึ้นเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ปี 1998 ที่ เดอะ บลู ซามูไร มีส่วนร่วมกับ เวิร์ล คัพ รอบสุดท้าย กระทั่งเข็มนาฬิกาหมุนมาถึงปัจจุบัน เวลานี้ทีมจากแดนปลาดิบไม่ใช่ไม้ประดับของทัวร์นาเมนต์อีกต่อไป หากแต่ไม่ว่าใครเจอ ก็ต้องหวาดหวั่นเช่นกัน
ญี่ปุ่น มี คาซูโยชิ มิอูระ เป็นคนเปิดตลาด ตามด้วย ฮิเดโตชิ นากาตะ ก่อนที่คนอื่นๆ จะค่อยๆ เจริญรอยตาม
แม้ว่า คาซู กับ นากาตะ จะไม่ได้ไปเล่นให้ทีมใหญ่ในช่วงแรก แต่มันคือ 'แรงบันดาลใจ' ที่ส่งต่อถึงเยาวชนรุ่นหลังของพวกเขา
จาก 1 เพิ่มเป็น 2 จาก 2 เพิ่มเป็น 4 - นักเตะจากดินแดนอาทิตย์อุทัยงอกเงยในลีกยุโรป มากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็น 'สินค้าส่งออก' ที่ตีตราคุณภาพว่าย้ายไปปุ๊บ ใช้งานได้ปั๊บ
เอาแค่ 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมที่บุกไปถล่มเยอรมัน 4-1 นั้นมีเพียง เคซึเกะ โอซาโนะ เท่านั้นที่เล่นอยู่ใน เจลีก ส่วนอีก 10 ราย โลดแล่นต่างแดนล้วนๆ
นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่น เพียรพยายามมาตลอดกับการพัฒนาอย่างจริงจัง พวกเขาวางระบบ วางโครงสร้างเยาวชนมาช้านาน ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างสูง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นสร้างคุณประโยชน์มหาศาล
กลับมาที่ฝั่งไทย ซึ่งรุ่นปัจจุบัน ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธุ์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ได้ไปสร้างผลงานใน เจลีก ไว้เป็นที่น่าจดจำ
สุภโชค สารชาติ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา ก็กำลังรับไม้ต่อจากรุ่นพี่ โดยมี ศุภณัฏฐ์ ที่จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่ขวางกั้น
การไปค้าแข้งที่เบลเยียม หนนี้คืออีกก้าวสำคัญของวงการฟุตบอลไทย อย่างแท้จริง
ชิกกะด้าว