แม้ว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด จะอยู่อันดับ 4 ของตาราง ไทยลีก 2022-23 แต่เมื่อพูดถึงผลงานอันเอกอุ ณ ปัจจุบัน พวกเขาคือทีมที่ร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ กับการเก็บชัยชนะในลีกได้ 7 นัดรวด ซึ่งถือสถิติที่ยอดเยี่ยมมากๆ ยากที่ใครจะทัดเทียม
จากฟอร์มอันไฉไล แสงสปอตไลต์อาจจะสาดส่องไปที่ วิลเลียน พ็อพพ์ หรือ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กับฟอร์มที่โดดเด่นเป็นสง่า คนนึงยิง อีกคนนึงจ่าย จนพากิเลนผยองเริงร่าท้ายุทธจักร
ทว่ายังมีนักเตะอีกหนึ่งรายที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย และเขาคนนี้จัดว่าเป็นคีย์แมนที่สำคัญมาก และเมื่อย้อนกลับไปดูที่ผลงานในสนาม จะเห็นได้ว่า เมืองทอง จะดูแข็งแกร่งขึ้นทันทีเมื่อมี เยสเปอร์ นีโฮล์ม ยืนตระหง่านอยู่ในแผงหลัง
แนวรับเชื้อสายสวีเดน-ฟิลิปปินส์ ย้ายจาก เยอร์การ์เด้นส์ สโมสรในลีกสูงสุดสวีเดน มาอยู่กับกิเลนผยองในเลกที่สองของฤดูกาล 2021-22 หลังจากอดีตแชมป์ ไทยลีก 4 สมัย ไปเห็นแววจากศึก อาเซียน คัพ 2020
นีโฮล์ม กลายเป็นตัวหลักของ เมืองทอง ในทันที โดยจับคู่กับ ลูคัส โฮช่า ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ แต่ด้วยความที่ มาริโอ ยูรอฟสกี้ เป็นกุนซือที่นิยมเล่นเกมรุก แถมยังสั่งให้ลูกทีมบิวต์อัพตั้งแต่แดนหลัง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียประตู มันจึงทำให้ซีซั่นแรกของเขากับต้นสังกัดใหม่ยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้น แฟนๆ ก็ยังเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวปราการหลังคนนี้
แม้รูปร่างจะดูบอบบาง เมื่อเทียบกับเซนเตอร์ฮาล์ฟคนอื่นๆ แต่มันถูกแทนที่โดยความเฉียบขาดในการอ่านจังหวะเกม - สิ่งที่ผู้คนมักจะได้เห็น เพราะเมื่อใดที่ นีโฮล์ม ลงสนาม เขาจะเป็นผู้เล่นที่ตัดบอลได้ก่อนที่จะถึงพื้นที่อันตราย ซึ่งนั่นทำให้ เมืองทอง ไม่เพลี่ยงพล้ำคู่ต่อสู้ในหลายๆ นัด
ความเก่งกาจของปราการหลังทีมชาติฟิลิปปินส์ ถูกกล่าวขานมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยยังเล่นอยู่กับ เอไอเค อีกหนึ่งทีมดังของสวีเดน
ผู้ที่ชื่นชม นีโฮล์ม ผ่านสื่อสาธารณะคือ ริการ์ด นอร์ลิ่ง อดีตโค้ชของเขาเอง โดยตอนนั้นทั้งคู่ร่วมงานกันที่ เอไอเค ระหว่างปี 2017-2019 โดยกุนซือเจ้าของรางวัล 'เทรนเนอร์ยอดเยี่ยมลีกสวีเดน' 2 ครั้ง ยืนยันว่าลูกทีมของตนเองคนนี้มีดีพอที่จะก้าวไปติดทีมชาติสวีเดน ชุดใหญ่
ทว่าเส้นทางการค้าแข้งของปราการหลังเชื้อสายฟิลิปปินส์ ต้องสะดุดกับการบาดเจ็บที่เท้า จนต้องพักยาวพอสมควร กระทั่งโอกาสที่จะได้สวมใส่ชุดแข่งทีมชาติสวีเดน ค่อยๆ หลุดลอยออกไป
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาบาดเจ็บ นั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้าย - นีโฮล์ม ลุกขึ้นสู้อีกครั้งในสิ่งที่ตนเองรัก และการตัดสินใจเลือกเล่นให้ฟิลิปปินส์ ก็ทำให้ชีวิตของเขาบรรจบลงกับ เมืองทอง หลังจบทัวร์นาเมนต์ อาเซียน คัพ 2020
นับต้องแต่กิเลนผยองมีปราการหลังคนนี้อยู่ในทีม แนวรับก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นในทันตา
โดยเฉพาะซีซั่นปัจจุบันที่ นีโฮล์ม ลงเล่นในลีกไป 20 เกม และมีเพียง 4 นัด เท่านั้นที่เขาอยู่ในสนามแล้ว เมืองทอง เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
นอกจากนี้เขาก็ยังมีสถิติที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการทำไปถึง 7 คลีนชีต จาก 20 เกม ที่ลงเล่นในลีก
ยูรอฟสกี้ ติวเข้มแนวรุก - วีระเทพ และ พ็อพพ์ ก็เฉิดฉาย พอได้ มิลอส โยซิช มาขันน๊อตเกมรับ - นีโฮล์ม ที่มีของอยู่แล้ว ก็ประกายแสงแพรวพราวแววระยับ
สถิติในเรื่องเกมรุกของ เมืองทอง เป็นรองเพียง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียวเท่านั้น ขณะที่เกมรับก็อยู่อันดับ 4 ต่อจาก แบงค็อก, บุรีรัมย์ และ การท่าเรือ เท่านั้น
แต่อย่าลืมว่าในเลกแรก กิเลนผยองโดนเจาะตาข่ายได้ง่ายเหลือเกิน และมักจะมีข้อผิดพลาดให้เห็นเป็นประจำ
ทว่าการที่ นีโฮล์ม มีร่างกายสมบูรณ์ บวกด้วยได้รับการกำกับจาก โยซิช อีกแรง มันจึงพลิกฟอร์มของ เมืองทอง ให้กลับมาอยู่ ณ จุดที่ควรจะเป็น
การรั้งอันดับ 4 ได้อย่างเหนียวแน่น ทั้งๆ ที่เลกแรกพวกเขาชนะแค่ 3 เกม เท่านั้น ส่วนหนึ่งคือการเล่นเกมรุกที่หลากหลายมิติ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับแผงหลังที่ลดข้อผิดพลาด จนกลายเป็นทีมที่เสียประตูยาก และคนที่ต้องชื่นชมมากๆ หน่อยก็ต้องเขาคนนี้นี่แหละ
เยสเปอร์ นีโฮล์ม คีย์แมนผู้ปิดจุดอ่อนของ เมืองทอง
ชิกกะด้าว