ชลบุรี เอฟซี กำลังตกอยู่ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก ผลงานการไม่ชนะใครเลย 8 เกม ติดต่อกัน แถมยังเป็นความพ่ายแพ้ถึง 7 นัด ถือเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรบนเวที ไทยลีก
นับตั้งแต่เมืองไทย มีลีกอาชีพแบบเต็มตัวในปี 2007 นี่ถือเป็นตัวเลขที่ไม่โสภาเลยของฉลามชล เพราะก่อนหน้านั้นคือซีซั่น 2020-21 ที่พวกเขาไม่ชนะใครเลย 7 นัด แต่ก็ยังดีกว่าหนนี้ เนื่องจาก เป็นการเสมอไปเสีย 4 เกม และแพ้ไป 3 แมตช์
หากจะว่าไป ช่วงรอยต่อระหว่างกุมภาพันธ์-มีนาคมคือเดือนที่ ชลบุรี ทำผลงานได้ย่ำแย่มาโดยตลอด สถิติ 3 ฤดูกาลหลังสุดของพวกเขามีดังนี้
2020-21 (มีนาคม) - ไม่ชนะ 7 นัดติด (เสมอ 4 และแพ้ 3)
2021-22 (กุมภาพันธ์-มีนาคม) - ไม่ชนะ 6 นัดติด (เสมอ 2 และแพ้ 4)
2022-23 (กุมภาพันธ์-เมษายน) - ไม่ชนะ 8 นัดติด (เสมอ 1 และแพ้ 7)
นี่คือห้วงเวลาที่ยากลำบากของหนึ่งในสโมสรที่ถือเป็น 'ต้นแบบ' ของฟุตบอลอาชีพ - ชลบุรี คือทีมท้องถิ่นที่มีแฟนๆ ให้การสนับสนุนมหาศาลและยังมีอะคาเดมี่ที่แข็งแรง ซึ่งผลิตนักเตะคุณภาพส่งถึงทีมชาติไทย มากมาย
แม้ว่าพวกเขาจะร้างราความสำเร็จในการเป็นแชมป์ลีกมาตั้งแต่ปี 2007 และได้เพียงถ้วย เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2010 กับ 2016 เพิ่มเติมอีกเพียง 2 ใบ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าฉลามชลคือสโมสรชั้นนำของประเทศ
2 ซีซั่นที่ผ่านมา ชลบุรี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการทำทีมเยาวชนที่ต่อเนื่อง แม้จะไม่มีผู้เล่นต่างชาติที่สามารถสร้างความแตกต่างได้เหมือนทีมใหญ่ทีมอื่นๆ แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดสู้กับคู่แข่งได้อย่างสง่างาม ด้วยตัวนักเตะที่เติบโตจากอะคาเดมี่ของตนเอง
สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, สุรีย์-สุรัตน์ สุขะ, พิภพ อ่อนโม้, ณัฐพงษ์ สมณะ, อดุล หละโสะ ส่งไม้ต่อมายัง วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, กฤษดา กาแมน, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ทรงชัย ทองฉ่ำ, พิทักษ์ พิมแป้, บุคฆอรี เหล็มดี และยังมีแข้งอายุน้อยที่จดจ่อรอการขึ้นชั้นสู่ทีมชุดใหญ่
ผลิตผลของสถาบันเยาวชน ชลบุรี เป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพคับแก้ว และการได้ สะสม พบประเสริฐ ซึ่งเป็นกุนซือที่ชื่นชอบการให้โอกาสกับบรรดาผู้ดาวรุ่งมาเป็นเฮดโค้ชเมื่อปี 2019 ยิ่งเป็นการประกาศแนวทางที่ชัดเจนว่าพวกเขายึดมั่นในเส้นทางนี้
ฤดูกาล 2020-21 ที่บรรดาแข้งวัยกระเตาะถูกผลักดันสู่ชุดใหญ่อาจจะพบกับความยากลำบากในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เขี้ยวลากดิน มันจึงทำให้ทัพฉลามชลเกือบจะตกไปอยู่กลุ่มท้ายตาราง ทว่า 'โค้ชเตี้ย' ก็ยังพาทีมหลุดจากโซนสีแดงได้สำเร็จ แถมยังไปไกลถึงการเป็นรองแชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยนักเตะอายุน้อย
พอกระดูกเริ่มแข็งขึ้น ซีซั่น 2021-22 ชลบุรี มาดีทีเดียว แถมยังมีช่วงที่รักษาอันดับท็อป 4 ของตารางได้ยาวนานกว่า 15 สัปดาห์
ซีซั่นปัจจุบันยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาอยู่ในท็อป 4 ถึง 20 วีค แถมยังรั้งจ่าฝูงได้ 3 สัปดาห์ หนำซ้ำยังชนะทีมใหญ่ทั้ง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, การท่าเรือ เอฟซี และบุกไปยำ เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ที่ ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม 5-1
ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความ 'อดทน' ในแนวทางของตนเอง นั่นคือการปั้นผู้เล่นเยาวชนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และบวกด้วยการมีโค้ชอย่าง สะสม ผู้นิยมในการให้โอกาสกับนักเตะอายุน้อย
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ต่อ ประจวบ เอฟซี คาบ้านตัวเอง 0-1 จากนั้นผลงานของฉลามชลก็ค่อยๆ ดิ่งเหว จนกระทั่งล่าสุดก็พังคารังอีกครั้งให้กับ เชียงราย ยูไนเต็ด ทีมที่กำลังระส่ำพอๆ กันอีก
ในโลกของฟุตบอลไม่มีสิ่งใดแน่นอน ทุกอย่างมีวัฏจักรของมัน แต่ดูเหมือนว่าวงเวียนของ ชลบุรี จะวนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง หลังท้องฟ้าสดใสได้ปีกว่าๆ
สะสม ซึ่งเป็นกุนซือมาดแมน จึงรับผิดชอบผลงานที่ย่ำแย่ด้วยการตัดสินใจลาออก สวนทางกับ อดุล ที่เข้ามาสานต่องานที่เหลืออยู่จนจบฤดูกาล 2022-23
แน่นอนว่าการแต่งตั้ง อดุล นั้นสะท้อนให้เห็นว่าฉลามชลยังคงยึดมั่นแนวทางของสโมสรแบบแน่วแน่ เพราะอดีตกองกลางทีมชาติไทย คนนี้ก็เป็นดีเอ็นเอ (DNA) ขนานแท้ของ ชลบุรี กับการเติบโตมาจากเยาวชน
อีก 4 เกม ที่เหลืออยู่ ไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขาจะฟื้นคืนฟอร์มเก่งได้หรือไม่ เพราะคู่ต่อสู้แต่ละทีมต่างก็ต้องการแต้มทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ลำปาง เอฟซี, นครราชสีมา เอฟซี, การท่าเรือ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
แนวทางที่ชัดเจนของฉลามชลจะบรรจบกับความสำเร็จได้อีกเมื่อไหร่ คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่ออีกยาวๆ เพราะปัจจุบันในโลกของฟุตบอลที่เงินตรานำพาถ้วยรางวัล โอกาสที่จะคว้าแชมป์ด้วยผู้เล่นจากอะคาเดมี่นั้นคงเป็นไปได้ยาก
แต่จากนี้ต่อไป ชลบุรี ก็ยังจะคงเป็นหนึ่งในสโมสรที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันผู้เล่นอายุน้อยเช่นเดิม
ชิกกะด้าว