ท่าเรือ-เมืองทอง สมราคาและปัญหาเดิมๆ ที่เห็นในทุกๆ สัปดาห์!?

   ชัยชนะของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่มีเหนือ การท่าเรือ เอฟซี 3-2 คือหนึ่งในเกมที่พลิกผันและสุดมันของซีซั่นนี้แบบไม่อาจปฏิเสธได้

   ก่อนการแข่งขันของคู่นี้นั้นเดาได้ยากลำบากว่าผลจะออกไปในทิศทางใด เนื่องจากทั้งสองฝั่งต่างกำลังอยู่ในช่วงคึกคะนองฟอร์มเด็ดดวง

   สิงห์เจ้าท่าที่ใช้บริการโค้ชคู่ โชคทวี พรหมรัตน์ และ สุรพงษ์ คงเทพ มาพร้อมสถิติชนะ 4 จาก 5 นัด ที่ลงสนาม ขณะที่กิเลนผยองอาจจะดูด้อยกว่านิดๆ แต่การมี 7 คะแนน จากเกมที่ต้องพบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด นั้นถือว่าพวกเขาทำได้ดีเกิดความคาดหมาย

   ครึ่งแรกที่สิงห์เจ้าท่าทำได้ดีกว่า ทั้งในเรื่องของรูปแบบการเล่นและความคมกริบในการจบสกอร์ จนทำให้นำห่าง 2-0 ใน 45 นาที

   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ การท่าเรือ จัดการกับ เมืองทอง ได้อยู่หมัดคือ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ที่กลับมาออกสตาร์ตเป็นตัวจริงโชว์ฟอร์มเก่งเหมือนวันวานกับการอ่านจังหวะบอลได้เฉียบขาด จนทำให้แผงมิดฟิลด์ของเจ้าถิ่นเหนือกว่าอาคันตุกะจากแจ้งวัฒนะหลายเท่าตัว

   พิชา อุทรา และ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ คู่กองกลางกิเลนผยองแทบถูกบีบให้เล่นด้วยความยากลำบาก ทำได้ดีที่สุดเพียงส่งบอลไปมาเท่านั้น

   แต่ครึ่งหลังกลายเป็นคนละม้วน เพราะว่า เมืองทอง กลับคืนสู่ฟอร์มอันยอดเยี่ยมได้เหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่ 45 นาทีแรก พวกเขาเล่นแบบเฉาแฉะ เหมือนต้องมนต์สะกดของสิงห์เจ้าท่า 

   ต้องชื่นชมการแก้เกมและคำปลุกเร้าในห้องแต่งตัวของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ที่ทำให้กิเลนผยองพลิกกลับมาแซงได้ 3-2 โดยเฉพาะวิธีการเข้าทำที่ย้ำไปที่ช่องว่างระหว่างเซนเตอร์ฮาล์ฟและแบ็กซ้ายของ การท่าเรือ อย่าง แอร์ตอน กับ เควิน ดีรมรัมย์

   2 จาก 3 ประตู ที่อดีตแชมป์ ไทยลีก 4 สมัย ทำได้นั้นขึ้นเกมมาจากฝั่งขวา ส่วนอีกประตูก็เป็นการเล่นงานช่องของ เอเลียส ดอเลาะ กับ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ จนได้มาซึ่งจุดโทษในนาทีที่ 80 

   อีกคนหนึ่งที่ต้องให้เครดิตไปเต็มๆ คือ มิลอส โยซิช เทรนเนอร์ชาวเซอร์เบีย ที่เข้ามารับบทบาทผู้ช่วยโค้ชของ ยูรอฟสกี้ และก็ทำให้ทีมผลงานดูดีขึ้นแบบชัดเจน ทั้งในแง่ของแท็กติกที่แยบยลกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ทำได้เด็ดขาด ถูกจังหวะ

   หากยังรักษามาตรฐานระดับนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ รับประกันเลยว่าฤดูกาลต่อไป เมืองทอง จะกลับมาลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวแน่นอน

   อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาของวงการลูกหนังไทย เพราะมีให้เห็นเป็นประจำในทุกๆ สัปดาห์ไม่เว้นวรรค

   การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินยังสร้างความงุนงงในหลายๆ หนระหว่างการแข่งขันของ การท่าเรือ และ เมืองทอง

   ใบเหลืองของ แฮมิลตอน ที่ไปเล่นนอกเกมใส่ เยสเปอร์ นีโฮล์ม ก็น่าคิด, จุดโทษที่ เอเลียส ไปเกี่ยว ปรเมศย์ อาจวิไล ก็ตัดสินลำบาก 

   หรือช่วงวินาทีสุดท้ายของการแข่งขันที่ นีโฮล์ม งัดกันกับ แฮมิลตอน ก็ดันไร้เสียงสัญญาณจากวิดีโอผู้ช่วยผู้ตัดสิน (VAR) 

   แต่ที่น่าแปลกใจสุดๆ คือจังหวะที่ เนเกบา แนวรุกบราซิล ของ การท่าเรือ ลากหลบผู้เล่น เมืองทอง ที่พยายามฉุดกระชากไปแล้ว 3-4 ราย ก่อนจะเสียบอลในไม่กี่อึดใจต่อมา ทว่าตุลาการสนามกลับมองว่าเป็น 'ลูกได้เปรียบ' ทั้งๆ ที่เหตุการณ์มันไม่น่าจะลงเอยเช่นนั้น

   หากต้องการพัฒนาและยกระดับฟุตบอลไทย ให้ไปไกลกว่านี้ นอกจากโครงสร้างของระบบเยาวชนที่จำเป็นจะต้องวางแผนระยะยาวแบบจริงจังเพื่อความแข็งแรง ก็มีเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการในสนามนี่แหละที่ควรปรับปรุงแบบด่วนที่สุด

   ไม่เช่นนั้นปัญหาเดิมๆ ก็จนวนเวียนซ้ำซากในทุกๆ สัปดาห์ และเมื่อมันไม่จบไม่สิ้นสักที คนที่รักฟุตบอลจริงๆ อาจจะเหนื่อยหน่าย ก่อนจะบ๊ายบายไปตลอดกาล

ชิกกะด้าว