ชัยชนะเหนือ ราชบุรี เอฟซี ถึงถิ่น ดราก้อน โซลาร์ พาร์ค ด้วยสกอร์ 1-0 คือผลงานอันเอกอุของ แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่กลับมาโชว์ฟอร์มเด็ดสะระตี่อีกครั้ง ภายใต้การกำกับของ 'โค้ชแบน' ธชตวัน ศรีปาน
นับตั้งแต่เปิดเลกสองของซีซั่น 2022-23 พวกเขาเก็บชัยชนะรวดเดียว 7 นัด ในทุกรายการ ซึ่งถือเป็นห้วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของทัพแข้งเทพ หลังสะดุดอยู่หลายนัดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
การเปลี่ยนจาก ออเรลิโอ วิดมาร์ มาเป็น ธชตวัน ส่งผลในทันที เพราะว่า 'โค้ชแบน' เป็นกุนซือที่มากด้วยบารมี อีกทั้งเขายังจัดเป็นเทรนเนอร์ที่มีแท็กติกชัดเจน มันจึงทำให้นักเตะในทีมค่อนข้างเชื่อมั่น
เฮดโค้ชชาวสระบุรี เก่งกาจในเรื่องการวางกลยุทธ์ เขามีความยืดหยุ่นตามแต่คู่ต่อสู้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นใคร ซึ่งผลงานที่ประจักษ์และชัดเจนที่สุดคือสมัยคุม เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้แชมป์ ไทยลีก 2016 และต่อยอดสู่การนำกิเลนผยองทะลุรอบน็อก-เอาต์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2017 ได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
เรื่องระบบการเล่น - ธชตวัน ถือเป็นกุนซือเบอร์ต้นๆ ของประเทศแน่ๆ แต่มันมีข้อแม้ว่าถ้าเขาได้นักเตะที่ฝีเท้าดีและเข้าใจแท็กติกที่สื่อออกไป แผนการของ 'โค้ชแบน' จะเปล่งประกายทันที
ตอนที่เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของ เมืองทอง เขามีทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธ์, สารัช อยู่เย็น, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และแข้งช้างศึกอีกหลายรายอยู่ในทีม
พอได้นักเตะระดับนี้ บวกเข้ากับแผนการอันแยบยลของ 'โค้ชแบน' ผลที่ออกมาเลยกลายเป็นทีมที่ทรงอานุภาพ
ในทางตรงกันข้าม หากว่าทรัพยากรที่มีในมือไม่สมบูรณ์นัก แท็กติกของเขาก็จะไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้
ทว่าการคัมแบ็กกลับมาคุม แบงค็อก อีกครั้งในตอนนี้ ขุมกำลังของบียูซึ่งอุดมไปด้วยผู้เล่นชั้นนำของสยามประเทศ บวกกับการที่ไม่มีใครไปกับทีมชาติไทย ไปแข่งขัน อาเซียน คัพ 2022 เนื่องจากเข้าแคมป์เก็บตัวกันร่วมเดือน มันจึงทำให้สิ่งที่ ธชตวัน ต้องการสัมฤทธิผลในเลกที่สองนี่เอง
การเก็บชัยชนะเรื่อยๆ และมากถึง 6 นัด ติดต่อกันย่อมทำให้พวกเขามีความฮึกเหิมมั่นใจ ซึ่งส่งผลให้ฟอร์มในสนามเป็นไปในทิศบวก
อย่างไรก็ตาม โปรแกรมต่อจากนี้ของ แบงค็อก จะเป็น 'บทพิสูจน์' ที่แท้จริงของพวกเขา
ไล่ตั้งแต่ 22 กุมภาพันธ์ จะเปิดบ้านรับมือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในถ้วย ลีก คัพ
จากนั้นก็จะเจอทั้ง การท่าเรือ เอฟซี (เหย้า), นครราชสีมา เอฟซี (เอฟเอ คัพ, เหย้า), เชียงราย ยูไนเต็ด (เยือน), ชลบุรี เอฟซี (เหย้า), บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (เยือน) และปิดช่วงหฤหรรษ์ด้วยการกลับมาพบ บุรีรัมย์ อีกครั้งใน ไทยลีก
เท่ากับว่า 6 จาก 7 นัด ต่อจากนี้ บียู จะต้องเผชิญหน้ากับทีมระดับท็อปของเมืองไทย โดยที่ 2 นัด ในนั้นคือการปะทะ บุรีรัมย์ อีกต่างหาก
น่าเสียดายอยู่นิดนึงตรงที่ถ้า เมืองทอง สามารถหยุดปราสาทสายฟ้าใน ไทยลีก นัดล่าสุด ได้สำเร็จ มันจะทำให้ช่องว่างการลุ้นแชมป์แคบลงกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ความเข้มข้นทวีคูณขึ้นแน่ๆ ในเมื่อ แบงค็อก กำลังอยู่ในช่วงพีกแบบนี้
ทว่าสิ่งที่ทัพแข้งเทพต้องพิสูจน์นั้นกำลังรออยู่ในอีก 7 นัดข้างหน้า กับ 3 รายการหลักของเมืองไทย
'โค้ชแบน' ก็รู้ดีว่าต่อจากนี้นี่แหละ 'ของจริง' ล้วนๆ เพราะเขาเพิ่งให้สัมภาษณ์ว่าบทพิสูจน์ว่า แบงค็อก จะไปได้ไกลแค่ไหนในฤดูกาล 2022-23 ก็อยู่ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้แหละ
หากผ่านไปได้ ยังไง ไทยลีก คงจะจองอันดับ 2 แน่ ส่วนฟุตบอลถ้วยนั้นต้องลุ้นนัดต่อนัด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือซีซั่นถัดไป พวกเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ทว่าถ้าสะดุดในช่วงโปรแกรมสุดโหด คงไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง เพียงแต่มันจะทำให้บียูกลับสู่วังวนเดิมๆ ที่เหมือนจะลุ้นแชมป์ แต่ก็ทำได้แค่หวาดเสียวเท่านั้นเอง
ชิกกะด้าว