ในที่สุดเรื่องการถ่ายทอดสด มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คัพ 2022 ในประเทศไทย ก็ได้บทสรุปสักที หลังรอมาแสนนาน ซึ่งต้องขอบคุณ 'กองสลากพลัส' ที่จัดแจ่มๆ ให้คอฟุตบอลชาวสยามได้ตามเชียร์ทัพช้างศึกให้ป้องกันแชมป์อาเซียน ได้สำเร็จ
แม้ว่ามันจะติดขัดในเรื่องของสัญญาณการรับชม แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าที่การเป็นชาติเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีเจ้าของลิขสิทธิ์
ขนาดเกาหลีใต้ ที่ไม่ได้แข่งขันรายการนี้ ยังส่งสัญญาณกลับไปประเทศเขาเลย
แต่ไฉน ไทยแลนด์ กลับหาช่องทางการถ่ายทอดสดไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นแชมป์เก่าของรายการนี้ แถมเรตติ้งก็สูงปรี๊ดอีกต่างหาก
วันนี้ ทัพช้างศึกมีคิวลงสนามนัดที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม โดยจะต้อนรับการมาเยือนของฟิลิปปินส์ ที่หลังพิงฝา เนื่องจากชนะ 1 และแพ้ 1 ทำให้จะพลาดอีกไม่ได้เป็นอันขาด
แม้ว่าสถิติของไทย จะเหนือกว่าแบบชัดเจน เพราะว่า 9 ครั้ง ที่เคยดวลกัน เป็นฝั่งเราที่เก็บชัยไปถึง 7 และเสมอเพียง 2 นัด เท่านั้น
จริงๆ แล้วฟิลิปปินส์ ควรจะมีขุมกำลังที่ดีกว่านี้ เพราะบรรดาผู้เล่นที่แฟนฟุตบอลชาวไทย คุ้นหูอย่าง ไมเคิ่ล ฟัลเคสการ์ด, พาทริก ดีย์โต, เยสเปอร์ นีโฮล์ม, โจชัว กร็อมเมน, เอียน แรมเซย์, มาร์ติน สตอยเบิ้ล, พาทริก ไรเชลต์ และคนอื่นๆ ต่างก็มาค้าแข้งในลีกสูงสุดของบ้านเรา
ทว่าน่าเสียดายที่รายชื่อเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในทีมชุดลุย อาเซียน คัพ 2022 ด้วยเหตุผลหลายหลากประการ
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลยุคปัจจุบัน เรื่องของแท็กติกมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดผลการแข่งขัน และต้องอย่าลืมว่า ดิ อัซกัลส์ มี โฆเซฟ เฟร์เร ซึ่งเคยทำงานในสยามประเทศมายาวนานกว่า 6 ปี คุมทัพด้วย
กุนซือชาวสเปน คนนี้อายุเพียง 39 ปี ดังนั้นเขาจึงจัดเป็นโค้ชรุ่นใหม่ที่พร้อมเสี่ยงและการที่เคยอยู่เมืองไทย มานานพอสมควร เขาย่อมมีกลยุทธ์ที่จะกำราบทีมช้างศึกแน่
แต่ละสโมสรที่ เฟร์เร เคยอยู่ด้วยก็เป็นสโมสรชั้นนำของบ้านเราทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่การเป็นผู้จัดการทีมอะคาเดมี่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (2013-14) ก่อนจะไปเริ่มงานเฮดโค้ชที่ ราชบุรี เอฟซี (2015) และมา บางกอกกล๊าส เอฟซี (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) เมื่อปี 2016-18
เรียกได้ว่าเขารู้จักนักเตะของไทย ดีเลยทีเดียว
นอกจากตัวกุนซือที่คุ้นเคยกับสยามประเทศ นักเตะในทีมชุดนี้ที่อาจจะไม่ฟูลทีมก็จริง แต่พวกเขายังมี อมานี่ อากินัลโด้ ที่เล่นอยู่ใน ไทยลีก มาตั้งแต่ฤดูกาล 2020-21 รวไปถึง มาร์ค ฮาร์ทมันน์ อดีตกองกลางของ สุพรรณบุรี เอฟซี ก็พร้อมลงสนาม
2 คนนี้แหละที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเผชิญหน้ากับทัพช้างศึก เนื่องจากรู้จักผู้เล่นไทย เป็นอย่างดี
แต่คนอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้เล่นในเมืองไทย ก็ถือว่าเก่งกาจไม่เบา เพราะใน 2 เกมก่อนหน้านี้ ฟิลิปปินส์ ใช้นักเตะลูกครึ่งลงสนามเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีเพียง อากินัลโด้ รายเดียวเท่านั้นที่เป็นชาวตากาล็อกแท้ๆ และได้เล่นครบ 180 นาที
ผู้เล่นลูกครึ่งจะได้เปรียบในเรื่องรูปร่างและความแข็งแรง และพวกเขาก็อุดมไปด้วยนักเตะเชื้อสายอังกฤษ, สเปน, เยอรมัน, ออสเตรเลีย ซึ่งชาติเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องลักษณะทางกายภาพอยู่แล้ว
เฮดโค้ชอย่าง เฟร์เร เองก็คงจะรู้ดีว่าจุดอ่อนของไทย คือลูกกลางอากาศ ดังนั้นนี่แหละจะเป็นสิ่งที่เขาจะใช้โจมตี เพราะถ้าต่อบอลสู้ อาจจะเพลี่ยงพล้ำก็เป็นได้
พวกเขาอาจจะมาเยือนด้วยสถานการณ์หลังชนฝา คือถ้าแพ้อาจจะตกรอบทันทีก็จริง ทว่า 'แรงกดดัน' นั้นตกอยู่กับฝั่งลูกทีมของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง มากกว่า เนื่องจากความคาดหวังที่ถูกตั้งไว้สูงลิ่ว
ยังดีที่นัดแรกยิงบรูไน ในช่วงท้ายเกม ทำให้ลดกระแสกดดันไปได้พอสมควร เพราะถ้าชนะ แล้วมีสกอร์ไม่สวย เชื่อเหลือเกินว่าโลกโซเชียลคงจะบ่นกันระงมเลยเชียว
มันจึงทำให้เกมนี้ไทย เองก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอยู่เช่นเคย โทษฐานที่เหนือกว่าทุกมิติ
การพบฟิลิปปินส์ จึงไม่ใช่การแข่งขันที่จะเล่นเพียงเพื่อ 3 คะแนน หากแต่ยังต้องมีรูปเกมที่สวยงามเพื่อเรียก 'ศรัทธา' จากแฟนๆ ให้กลับมาด้วย เนื่องจากล่าสุดบัตรเข้าชมการแข่งขันยังเหลืออยู่ทุกโซนที่เปิดจำหน่าย
กรณี 'ตั๋วเหลือ' สะท้อนให้เห็นว่าแฟนๆ เริ่มเหนื่อยหน่ายกับหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นผลงานของทีมชาติทุกชุดที่ล้มเหลว และกับเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่กว่าจะลงตัว ก็ต้องรอจนถึงนัดที่ 2 ถึงจะได้ชมพร้อมๆ กันทั่วประเทศ
ข้อสังเกตหนึ่งที่เชื่อถือได้คือช่วงใดที่ฟุตบอลไทย ฟีเวอร์ ขอเพียงเปิดขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน ไม่เกินชั่วโมง ทุกที่นั่ง ทุกโซน จะหมดเกลี้ยงในทันที
แต่ระยะหลัง แฟนๆ ในสนามเริ่มโหรงเหรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็มาจากการที่ 'ศรัทธา' ของพวกเขาเริ่มถดถอยลงไปนั่นเอง
ดังนั้นเกมกับฟิลิปปินส์ หากว่าไทย เก็บ 3 คะแนน ได้ในรูปแบบการเล่นที่ต้องตาโดนใจ รับประกันเลยว่านัดต่อไปในบ้านที่จะพบกับกัมพูชา จะมีแฟนๆ แห่แหนเข้าไปให้กำลังใจแบบชิดติดขอบกันล้นหลามแน่นอน
แต่ถ้าเกิดผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อันนี้ก็คงต้องกลับสู่วังวนเดิมๆ ด้วยการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
ชิกกะด้าว