เต็มที่แล้ว! บทสรุป 5 ข้อ ทีมชาติไทย พ่ายเกาหลีใต้ 0-3

เต็มที่แล้ว! บทสรุป 5 ข้อ ทีมชาติไทย พ่ายเกาหลีใต้ 0-3
ทีมชาติไทย อาจจะปราชัยต่อเกาหลีใต้ ไปขาดลอย 0-3 ทว่าควันหลงหลังเกมการแข่งขันยังเหลืออยู่ ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงคัด 5 ข้อเน้นๆ มาแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!

[ 1 ] ฝ่ายจัดการแข่งขันแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

ในศึกคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 โซนเอเชีย นัดแรกที่ไทย เปิด ราชมังคลากีฬาสถาน เผชิญหน้ากับจีน เกมนั้นผู้ชมยังไม่ได้ถาโถมสู่สนามแบบเต็มความจุ ทว่าการจัดการรอบๆ โดยเฉพาะ 'ประตูทางเข้า' นั้นถือว่าสอบตกอย่างแรก เนื่องจากผู้ชมจำนวนมากต่างต้องรอการตรวจตราด้วยความล่าช้า

สิ่งหนึ่งน่าจะมาจากการที่เปิดให้เข้าเพียง 2 ด้าน มันจึงส่งผลถึงความติดขัดในหลายๆ ประการ จนแฟนฟุตบอลหลายๆ รายต่างโห่ระงมจนอื้ออึง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการแข่งขันก็สามารถแก้ไขเรื่องดังกล่าวได้อย่างตรงจุดกับการเพิ่มทางเข้าในเกมเปิดบ้านพบเกาหลีใต้ ที่คอลูกหนังจากทั่วสารทิศแห่แหนกันมาอย่างเนืองแน่น แม้จะยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่มันเล็กน้อย และต้องถือว่าเกาได้ถูกที่คันจริงๆ

สถิติถูกบันทึกว่ามีผู้ชมในนัดนี้มากถึง 45,458 คน ซึ่งเต็มความจุทุกที่นั่ง

ทำดีต้องชื่นชม และเรื่องนี้ก็ต้องยกนิ้วโป้งให้กับฝ่ายจัดการแข่งขันที่ไม่ปล่อยปละละเลยจนทำให้แฟนๆ ต้องรอนาน เพราะอย่าลืมว่าอากาศร้อนๆ แบบนี้ มันทำให้อุณหภูมิความเดือดดาลเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว แต่ในเมื่อแก้ไขได้ดีเยี่ยม ก็ควรได้รับคำสรรเสริญเป็นธรรมดา

[ 2 ] อากาศมีผล

โทษฐานที่เมืองไทย เข้าสู่ฤดูร้อนแบบเต็มตัว มันจึงทำให้การแข่งขันที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ค่อนข้างเนือยพอสมควร แม้จะเริ่มคิ๊ก-ออฟในเวลา 19:30 น. แต่ตลอดทั้ง 90 นาที ในสนามนั้นเห็นได้ชัดเจนเลยว่ารูปเกมของเกาหลีใต้ นั้นไม่ได้บดบี้ขยี้เจ้าถิ่นแบบที่คาดการณ์กัน เนื่องจากพวกเขาคงจะเซฟพลังงานไว้

ทีแรกนึกว่าอากาศร้อนจะเป็นสามารถสร้างปัญหาให้อาคันตุกะจากแดนกิมจิ แต่เล่นไปเล่นมา ไม่เว้นแม้กระทั่งฝั่งไทย ที่ดูจะโรยแรงเช่นกัน เมื่อเข็มนาฬิกาเดินสู่ครึ่งหลัง 

เมื่อมองถึงศักยภาพในทุกๆ ด้าน ต้องยอมรับว่าเกาหลีใต้ เหนือกว่ามากมาย แต่เมื่อมองในอีกแง่มุมหนึ่ง ฟุตบอลยุคปัจจุบัน เรื่องของพละกำลังคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทีมยืนระยะได้ยาวๆ ตรงจุดนี้เอง ที่ทัพช้างศึกคงจะได้บทเรียนกลับมาเพื่อพัฒนาต่อ

มาซาทาดะ อิชิอิ เองก็คงรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็ทำงานในสยามประเทศมาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งถือว่าคลุกวงในกับวงการลูกหนังไทย หลากซอกมุม โดยเจ้าตัวคงจะตระเตรียมแผนการระยะยาวที่จะทำให้นักเตะมีความฟิตมากกว่าที่เห็นและเป็นไป

ขนาดว่าได้เปรียบเรื่องอากาศร้อน แต่กลายเป็นว่าไม่สามารถฉกฉวยโอกาสจากจุดนี้ได้ ก็ต้องกลับมาแก้ไขกันต่อ ติเพื่อก่อ หาได้ตำหนิด้วยความเกลียดชัง

[ 3 ] ทุกคนสู้เต็มที่ แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ คือสิ่งที่ต้องพัฒนา

สกอร์ 0-3 ที่ออกมาอาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย เพราะมันขาดลอยเกินไป กับรูปเกมที่ไม่ได้เป็นรองเหมือนอย่างนัดแรกที่ โซล เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม

เปอร์เซ็นต์การครองบอล 42 ต่อ 58 เปอร์เซ็นต์ คือตัวเลขที่ชี้ได้ชัดเจนว่าทีมชาติไทย มีพัฒนาการในการเล่นดีขึ้นกว่าแมตช์บุกเสมอ 1-1

หลายๆ จังหวะทัพช้างศึกสามารถต่อบอลกดดันแนวรับเกาหลีใต้ จนต้องระส่ำได้อยู่เป็นระยะ เพียงแต่ว่าโอกาสสับไกในพื้นที่สุดท้ายนั้นน้อยไปนิด มันจึงไม่สามารถตีไข่แตกได้สำเร็จ

นอกเหนือไปจากรูปเกมที่ยกระดับขึ้น ยังมีเรื่องของความใจสู้ที่นักเตะทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ดีที่สุด ทั้งการไม่มีปล่อยให้ผู้เล่นทีมเยือนเล่นง่ายๆ, กล้าเลี้ยง-กล้าลากตะลุยหรือมีบิวต์-อัปจากแดนตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ลำเลียงบอลไปสู่แดนคู่แข่งก็ทำให้เห็นหลายจังหวะ

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของเกาหลีใต้ อยู่ที่ช็อตสำคัญที่การมาเยือน ราชมังคลากีฬาสถาน หนนี้พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป 

ประตู 1-0 ที่ทัพโสมขาวขึ้นนำก็มาจากความยอดเยี่ยมของ อี คัง-อิน ที่ฉกฉวยจังหวะที่เกมรับของไทย ไม่ระวังตัว แทงทะลุช่องให้ โช กู-ซอง หลุดกับดักล้ำหน้า 

ส่วนลูกที่สองก็ต้องให้เครดิตกับความเฉียบคมของ ซน ฮึง-มิน กัปตันทีมที่ตอนนี้ถูกยกย่องให้อยู่ในระดับ 'เวิลด์คลาส' ไปแล้ว 

ตลอดทั้ง 180 นาที ในการเผชิญหน้าเกาหลีใต้ คือบทเรียนอัน 'ล้ำค่า' ของไทย เพราะโอกาสที่จะได้แข่งขันกับทีมแรงกิ้งสูงเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก เนื่องจากยังอีกยาวไกล กว่าจะไต่ไปใกล้เคียงพวกเขา

ดังนั้นเราต้องนำข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงและพัฒนาต่อ เพื่อที่จะได้ยกมาตรฐานให้สูงขึ้นในอนาคต 

[ 4 ] ความแตกต่างในพื้นที่สุดท้าย

ด้วยความที่เกมแรกเกาหลีใต้ ดันทำได้เพียงเสมอกับไทย ในบ้านตัวเอง 1-1 มันจึงทำให้พวกเขา 'เสียหน้า' พอสมควร เนื่องจากเหนือกว่าไทย ทุกมุม แต่กลับได้เพียงแต้มเดียวเท่านั้น

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แมตช์ที่ ราชมังคลากีฬาสถาน พวกเขาจึงเล่นด้วยความละเอียดยิบ ไม่มีเพรสซิ่งแบบเข้มข้น หากแต่รอจังหวะฉาบฉวยเพื่อโจมตีเร็วฉับพลัน

นัดแรกที่ โซล เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม - เกาหลีใต้ มีโอกาสยิงทั้งหมดถึง 25 ครั้ง แต่ตรงกรอบเพียง 8 หน และได้มาแค่ 1 ประตู

ผิดกับเกมที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ที่พวกเขาสร้างสรรค์โอกาสด้วยตัวเลข 9 ครั้ง แต่คราวนี้ตรงกรอบ 3 หน และเป็นประตูทั้งหมด

เท่านั้นไม่พอ เปอร์เซ็นต์การครองบอลก็ต่างกันลิบลับ เพราะตอนที่เล่นในบ้าน - เกาหลีใต้ ครองบอลถึง 78.5 เปอร์เซ็นต์ ผิดกับการออกมาเยือนที่ครองบอลน้อยลงเยอะ ด้วยตัวเลข 58 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ไทย เองเกมที่สองอาจจะโอกาสไม่ต่างจากนัดแรกมากนัก แต่ความเฉียบขาดในพื้นที่สุดท้ายคือสิ่งที่ต้องกลับมาพัฒนากันต่อ เพราะฟุตบอลนับผลแพ้-ชนะกันทีฝ่ายใดทำสกอร์ได้มากกว่า ซึ่งถ้าแก้ไขตรงจุดนี้ได้ เชื่อว่าคงจะมีลุ้นในทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปได้ยาวๆ

[ 5 ] อิชิอิ เราจะไม่รักคุณได้อย่างไร

มาซาทาดะ อิชิอิ คือกุนซือผู้ยกระดับเกมของทัพช้างศึกอย่างแท้จริง แม้ว่าจะแพ้ต่อเกาหลีใต้ ไป 0-3 ด้วยมาตรฐานที่เป็นรองในทุกมิติ แต่สิ่งหนึ่งที่เทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าเขามีแพสชั่นกับทีมแบบเต็มเปี่ยมด้วยการ 'ร้องเพลงชาติไทย'

ภาพที่ถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลมีเดียบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอดีตเฮดโค้ช คาชิมะ แอนท์เลอร์ส มีความผูกพันกับสยามประเทศมากเพียงใด

ในมือถือสมุดจด ตาจ้องมองไปที่ตัวหนังสือบนกระดาษ ส่วนปากก็ฮัมทำนอง 'เพลงชาติไทย' ไปพร้อมๆ กับทุกคนในสนาม

ทำทีมก็เก่ง, มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, เดินทางดูฟอร์มผู้เล่นทั่วประเทศ, ละเอียดเรื่องแท็กติก, จิตวิทยายอดเยี่ยม, ดึงศักยภาพนักเตะออกมาใช้ได้ในประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญคือการที่เจ้าตัวคงจะรู้สึกว่าเมืองไทย เป็นบ้านหลังที่สองของเขาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หากให้อิสระกับ อิชิอิ ในเรื่องฟุตบอล มั่นใจได้เลยว่าทัพช้างศึกจะต้องมีอนาคตที่สดใสในภาคหน้า

แต่เหนืออื่นใด การที่คนญี่ปุ่น หัดร้องเพลงชาติไทย มันไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นกันง่ายๆ มันไม่ใช่การแสดงแน่นอน เพราะหากว่าไม่รู้สึกผูกพัน ภาพที่ปรากฏออกมาคงจะไม่มีเช่นกัน

แล้วแบบนี้แฟนฟุตบอลชาวไทย จะไม่รักคุณได้เช่นไร....มาซาทาดะ อิชิอิ 


ที่มาของภาพ : SIAMSPORT
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport