ผลเสมอ 1-1 จาก โซล เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม คนที่ได้รับคำสรรเสริญมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือชาวญี่ปุ่น ที่รังสรรค์ทัพช้างศึกจนดีขึ้นผิดหูผิดตากับห้วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
โดยปกติแล้ว ทีมชาติไทย มักจะต่อกรกับคู่แข่งที่แรงกิ้งสูงกว่าได้ดีในช่วงแรก ก่อนจะค่อยๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระทั่งเป็นฝ่ายแพ้พ่ายไปในบั้นปลาย
คือสู้ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ขาดความเฉียบคม แถมมีจังหวะผิดพลาดจนสุดท้ายกลายเป็นการเสียประตูแบบง่ายๆ
มันคือมาตรฐานที่เป็นมาช้านาน
ไม่ว่าเฮดโค้ชคนไหนมาทำทีม ไม่ว่าจะชาวไทยหรือต่างประเทศ คือกำกับได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู้กับพวกชาติใหญ่ๆ ของทวีปได้สำเร็จสักที
ทว่า อิชิอิ แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
5 เกม ที่เขาคุมทัพช้างศึก คู่แข่งคือทีมที่แรงกิ้งสูงกว่าล้วนๆ แถมยังมีทั้งญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย และล่าสุดคือเกาหลีใต้ ซึ่งทั้งหมดคือท็อป 5 ของทวีป
หากเป็นในอดีต เอาแค่ 1-2 ปี หลังสุด เวลาเจอทีมระดับนี้ โอกาสที่ไทย จะรอดพ้นจากความปราชัยแทบไม่มี แต่ อิชิอิ ทำสำเร็จ กับการดึงศักยภาพของนักเตะที่มี ออกมาใช้ในประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของการผลักดันช้างศึกให้เฉิดฉายได้นั้นมาจากการทำงานที่หนักหน่วงของเขา เพราะอย่างที่แฟนฟุตบอลเห็นกัน คือกุนซือวัย 57 ปี มักจะโผล่ตามสนามต่างๆ ในทุกๆ สัปดาห์ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ไทยลีก 2 หรือ ไทยลีก 3
อิชิอิ ตระเวนชมเกมการแข่งขันแบบไม่มีเว้นวรรค พอกลับที่พัก เขาก็นำสิ่งที่เห็นมาประมวลผลกับแท็กติกของตนเอง จากนั้นก็ศึกษาคู่ต่อสู้ของไทย แบบละเอียด เพื่อหาจุดแข็ง-จุดอ่อน เพื่อเตรียมกลยุทธ์ไว้รับมือ
โค้ชหลายๆ คนก็คงเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับตัวกุนซือชาวญี่ปุ่น ผู้นี้คงมีเคล็ดลับซ่อนอยู่
ขนาดว่าแข่งกับเกาหลีใต้ เสร็จในช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 21 แล้วบินลัดฟ้าสู่เมืองไทย ในวันศุกร์ที่ 22 มีนาคม แทนที่จะพัก เขากลับวางโปรแกรมฝึกซ้อมต่อทันทีในตอนเย็นของวันเดียวกัน
ภาพสะท้อนที่ออกมาคือเรื่องของ 'ความฟิต' ที่เขามุ่งเน้นอย่างหนัก เพราะคงจะรู้ดีว่ามันคือปัญหาระยะยาวที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงมาอย่างช้านาน
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากำกับนักเตะไทย ได้ไหลลื่นน่าจะมาจากการที่เคยคุมสโมสรในดินแดนขวานทองมาแล้ว 2 ทีม ไล่ตั้งแต่ สมุทรปราการ ซิตี้ ต่อด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมๆ แล้วก็ราวๆ 5 ปี ที่คลุกคลีกับวงการลูกหนังสยามประเทศ
แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จัก 'สไตล์ไทยไทย' แบบลึกซึ้ง ซึ่งแนวคิดและวัฒนธรรมนั้นแตกต่างกับบ้านเกิดของตนเองแบบลิบลับ
แต่ในเมื่อทำใจยอมรับมันได้ ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อ
การทำทีมชาติไทย คือความท้าทายครั้งใหม่ของ อิชิอิ ตัวเขาเองก็ปรารถนาที่จะมาช่วยพัฒนาฟุตบอลที่นี้ให้เติบใหญ่ไปอย่างแข็งแรงในวันหน้า
ตอนนี้อาจจะเร็วเกินไปที่บอกว่าเป้าหมายของเขาบรรลุผลแล้ว เพราะนี่ยังเพิ่งจะ 3 เดือน ที่เขาอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพช้างศึก แต่อย่างน้อย มันก็เป็นก้าวแรกที่สง่าผ่าเผยกับผลงานสุดเซอร์ไพรส์จนเหมือนเป็นคนละทีมเดียวกัน
อิชิอิ และเจแปนีสสไตล์กำลังจะเปลี่ยนทิศทางฟุตบอลไทย ให้ยกระดับสู่สากล
ชิกกะด้าว