จากเกมแรกที่แพ้ญี่ปุ่น 0-5 แบบที่ถูกรัวกระหน่ำครึ่งหลังล้วน ๆ ทีมชาติไทยในมือ มาซาทาดะ อิชิอิ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ
ลงเตะกับทีมที่อันดับโลกเหนือกว่าทั้งหมดในศึกเอเชียน คัพ ชนะคีร์กิซสถาน เสมอโอมาน กับ ซาอุดีอาระเบีย เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแพ้อุซเบกิซสถาน
แล้วเกมใหญ่เดิมพันสูงเป็นของจริงที่สุดอย่างฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เยือนเกาหลีใต้ถึงกรุงโซล.. อาจารย์อิชิอิก็นำเราฉกแต้มกลับบ้าน
แค่ 3 เดือนก็ผ่านประสบการณ์กันมาอย่างโชกโชน ได้ปะทะกับทั้ง ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย เกาหลีใต้ และ อุซเบกิสถาน.. ระดับท็อปของทวีปทั้งนั้น
อันดับโลกล่าสุดแบบ Real time เราก็ทะลุเข้า Top 100 เรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก
การทำงานของอิชิอิกับเกมที่เราได้เห็นในสนามนั้นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานของอาจารย์ยามอยู่นอกสนามนั้นสร้างความอุ่นใจให้กับเรา สนามไหนก็สนามนั้นแกไปดูไม่เว้นว่าง ไม่เฉพาะลีกสูงสุดเท่านั้นอีกต่างหาก ไทยลีก2 ไทยลีก3 ก็ยังไปดูถ้ามีเวลาพอ
ภาพเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแรงกระตุ้นให้นักฟุตบอลทุกคนเท่านั้นว่าผลงานของพวกเขาสามารถอยู่ในสายตาของโค้ชทีมชาติ หากแต่ยังฝังแน่นลงไปในความรู้สึกของแฟนบอลอีกด้วย มันเป็นความอุ่นใจ สัมผัสได้ว่าคุณตั้งใจทำงานให้เราเหลือเกิน
การรู้จักวัฒนธรรมลูกหนังไทย รู้จักนิสัยใจคอนักเตะไทยค่อนข้างดีจากประสบการณ์ที่ทำงานในแวดวงฟุตบอลบ้านเรามานานก็ยังเป็นต้นทุนที่ทำให้ อิชิอิ เดินงานของเขาได้อย่างราบรื่น มีความไว้เนื้อเชื่อใจจากทั้งคณะทำงานและนักฟุตบอลทีมชาติมอบให้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
90 กว่านาทีที่ได้เห็นทีมชาติไทยเล่นกับเกาหลีใต้ แน่นอนเราถูกกดให้ต้องตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมันคือเรื่องธรรมดาของการพบกันระหว่าง 2 ทีมที่มาตรฐานฟุตบอลห่างกัน
แต่เรารับมือกับมันได้อย่างยอดเยี่ยม.. ไม่ลนลาน ร้อนรน สติแตกเตะทิ้งเตะขว้าง หากพยายามผ่านบอลเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้า แน่นอนสุดท้ายแล้วส่วนใหญ่เกาหลีใต้อาศัยคุณภาพโดยรวมที่เหนือกว่าบีบแย่งบอลกลับไปได้ทว่ามันก็แสดงให้เห็นถึงทัศนคติไม่กลัวของนักเตะไทย
เสียบอลให้เกาหลีใต้ที่พยายามโหมบีบเกมเป็นเรื่องเข้าใจได้ มันเป็นวิธีการเล่นของทีมที่เหนือกว่า ไม่ใช่เราเสียบอลง่ายแต่เพราะด้วยคุณภาพของเราเวลานี้โอกาสปลดการบีบรัดของทีมอย่างโสมขาวที่เพรสซิ่งดุดันมีค่อนข้างน้อย เขาพร้อมจะแย่งบอลเราทั้งในจังหวะแรก จังหวะสอง และจังหวะเก็บตกหลังจากนั้น
การเสียบอลให้เขาบุกกลับมาใหม่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่เรารับมือกับมันอย่างไรต่างหากซึ่งต้องชื่นชมนักเตะไทยทุกคนที่มีสติ ประคองสถานการณ์ ช่วยกันชะลอเกม ช่วยกับวิ่งขยับปิดพื้นที่ และช่วยเพื่อนไม่ให้ต้องเจอกับสถานการณ์ดวลตัวต่อตัว
ปีกสองข้างทั้ง สุภโชค และ เจริญศักดิ์ ที่ในเวลาต่อมาเปลี่ยนเป็น ศุภณัฏฐ์ ลงมาช่วยเกมรับตลอดเวลา ขณะที่ข้างหน้า ศุภชัย ขยันทุ่มเทพยายามเก็บบอลและสร้างความลำบากให้กองหลังเจ้าบ้าน
เรื่องที่ผมชอบมากที่สุดคือเราไม่ได้ตั้งรับอย่างเดียวแต่ยังมีจังหวะดันขึ้นไปบีบแดนบนไม่ให้กองหลังเจ้าถิ่นตั้งเกมตามใจชอบด้วย
นักเตะแดนหน้าของเกาหลีใต้ขยันวิ่งหาช่อง ถ้าปล่อยให้พวกเขาตั้งเกมง่าย ๆ ตั้งแต่แดนตัวเองขึ้นมาก็มีโอกาสถูกเล่นงานในพื้นที่ที่พวกเขาสร้างขึ้น การเล่นส่วนใหญ่ของเราถูกกดให้ตั้งรับก็จริงแต่หลาย ๆ ครั้งก็ขยับขึ้นไปบีบแดนบนกันเป็นทีม 4-5 คนทำให้นักเตะโสมขาวต้องรีบตัดสินใจ ไม่สามารถมองหาตัวเลือกในการเล่นได้ถนัด
นั่นคือความกล้าและมั่นใจ ถ้าไม่มั่นใจคงไม่กล้าเล่นอย่างนั้นในบ้านของเกาหลีใต้ ยามที่เราบีบแดนบนเราทำได้ดีสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10-15 นาทีแรกของเกม
ถึงตรงนี้สถานการณ์ในกลุ่ม C ของเราไม่เสียเปรียบจีนแล้ว ผ่านไปครึ่งทางเข้าสู่ 3 เกมสุดท้ายเราอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกับพวกเขา แต้มเท่ากัน ประตูได้เสียดีกว่า เพียงแต่เกมที่ต้องพบกันอีกนัดเราเป็นฝ่ายไปเยือน
3 คะแนนที่เขาได้จากเราไปในเกมแรกที่ราชมังคลากีฬาสถานคือ 3 แต้มใหญ่ของจีน แต่ขณะเดียวกัน 1 คะแนนที่เราได้จากเกาหลีใต้ในเกมล่าสุดก็เป็น 1 แต้มใหญ่ของเรา บวกกับ 2 คะแนนที่จีนเสียไปที่สิงคโปร์หลังจากถูกเจ้าถิ่นไล่ตีเสมอ 2-2 หลังโดนนำ 0-2 ก็เป็น 2 แต้มใหญ่ที่ทีมมังกรเสีย
หักลบกันแล้วเท่ากัน เข้าสู่ 3 เกมสุดท้ายโดยไม่มีใครเป็นรองกันแล้ว เกมนัดรองสุดท้ายที่ต้องไปเตะที่จีน พวกเขาคงคาดหวังถึงชัยชนะ เราเองก็เช่นกัน.. แต่ผมคิดว่าโปรแกรมสำคัญคือนัดสุดท้ายจีนต้องไปเยือนเกาหลีใต้ ส่วนเรารับมือสิงคโปร์ในบ้าน เผื่อเหลือเผื่อขาดอย่างไรยังมีเกมนี้ที่อาจตัดสิน
ยังได้ลุ้นกันยาว ๆ ครับสำหรับทีมชาติไทยในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งนี้ ชีวิตพลิกผันจากความห่อเหี่ยวหดหู่มาเป็นความหวังเรืองรองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จากที่คิดว่าจบแล้วหลังแพ้จีนคาบ้านตั้งแต่เกมแรก มาวันนี้เราหวังได้อย่างจริงจังถึงการเข้ารอบต่อไป
อังคารนี้ลุยกันต่อครับกับเกมที่ 4 ของเรา หวังว่าเราคงจะได้ยิ้มกว้างกันอีกทีนะ
ตังกุย