2 นัด 4 คะแนน และยังไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว คือผลงานที่เรียกได้ว่าน่าจะดีที่สุดของทีมชาติไทย นับตั้งแต่ปี 2007 เลยทีเดียว โดยหนนั้นทัพช้างศึกก็ทำแต้มได้เท่านี้จากสองเกมแรกของทัวร์นาเมนต์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการแข่งขันค่อนข้างจะแตกต่างกันลิบลับ เนื่องจากเมื่อ 17 ปี ที่แล้วความคู่คี่สูสีของแต่ละประเทศในเอเชีย ยังดูมีระยะห่างกันพอสมควร
ที่สำคัญ เอเชียน คัพ 2007 เราเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันร่วมกับอินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งก็กุมความได้เปรียบไว้พอสมควรทีเดียว
ดังนั้นการมี 4 คะแนน จาก 2 นัดแรกของทัวร์นาเมนต์ที่กาตาร์ จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิของทีมชาติไทย ชุดนี้จริงๆ
อย่าลืมว่าก่อนที่จะลัดฟ้าสู่ดินแดนแห่งทะเลทราย ทัพช้างศึกต้องประสบกับความยุ่งเหยิงมากมาย ไล่ตั้งแต่เรื่องการเตรียมทีมที่ลีกในประเทศจัดตารางการแข่งขันไม่สอดคล้องกับทีมชาติ, ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเตะกับทีมยุโรป ทั้งๆ ที่มีรายการสำคัญรออยู่ แถมยังไม่ได้เอานักเตะชุดที่ดีที่สุดไปอีกต่างหากและพอกลับมาเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกในบ้านตัวเองแท้ๆ กลับแพ้จีน ซะอย่างนั้น
เปลี่ยนเฮดโค้ชจาก อเล็กซานเดร โพลกิ้ง มาเป็น มาซาทาดะ อิชิอิ ก่อนที่ เอเชียน คัพ 2023 จะเริ่มต้นเพียง 1 เดือน, ไม่มี ธีรศิลป์ แดงดา, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา ไปกาตาร์ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
นี่คือส่วนหนึ่งของความชุลมุนวุ่นวายก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น
ใครต่อใครต่างก็คิดว่าทีมชาติไทย ชุดนี้คงจะพุ่งชนความล้มเหลวแน่ๆ เพราะปัญหาสารพัดถาโถมแบบไร้วี่แววแห่งแสงสว่าง
ผิดคาด!!
ทัพช้างศึกภายใต้การกำกับของ อิชิอิ เปลี่ยนไปเป็นคนละทีมจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
แม้จะรักษาแชมป์อาเซียน ไว้ได้ 2 สมัยติดต่อกัน แต่นั่นคือมาตรฐานที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว เพราะต้องอย่าลืมว่าศักยภาพของผู้เล่นไทย นั้นเหนือกว่าเพื่อนๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่พอสมควร ต่อให้เวียดนาม ที่มีอันดับโลกสูงกว่าก็ตาม
กุนซือชาวญี่ปุ่น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงนักเตะหลายๆ ตำแหน่ง โดยเฉพาะ กฤษดา กาแมน และ สารัช อยู่เย็น ที่หลุดโผตัวจริงใน 2 นัดแรกของทัวร์นาเมนต์
ในรายของ กฤษดา ที่เป็นตัวหลักในช่วง 2-3 ปี หลังสุดนี่ยังไม่ได้สัมผัสกับเกมในสนามเลยสักวินาทีเดียว
การตัดสินใจเช่นนี้ถือว่าเสี่ยงพอสมควร เพราะถ้าผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่ต้องการ คนที่จะถูกวิพากษ์-วิจารณ์ก็คือตัว อิชิอิ นั่นเอง โทษฐานที่ปรับจูนทีมจนเสียศูนย์
แต่ไม่เลย สิ่งที่สะท้อนออกมาในสนามนั้นแสดงให้เห็นถึงมันสมองของอดีตเฮดโค้ช คาชิมะ แอนท์เลอร์ส ว่าปราดเปรื่องเพียงใด
พรรษา เหมวิบูลย์ ที่ถูกมองว่าน่าจะต้องนั่งอยู่ข้างสนามก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์กลายเป็น 'คีย์แมน' สำคัญในแนวรับ โดยเฉพาะสถิติ 'เคลียร์บอล' 18 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดของ เอเชียน คัพ 2023 หลังผ่าน 2 เกมแรก คือตัวอย่างชั้นดีถึงความเยี่ยมยอดของ อิชิอิ
นอกจากนี้ เรื่องของความกระตือรือร้น นักเตะไทย ก็ดูจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัว สังเกตได้จากการช่วยกันวิ่ง ช่วยกันเพรสซิ่งคู่ต่อสู้ตั้งแต่แดนบน หรือบางครั้งพอถอยลงมาเล่นเกมรับ ก็พยายามปิดพื้นที่ไม่ให้บอลผ่านได้โดยง่าย
ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มักจะยืนนิ่ง ขยับน้อย จนพลอยทำให้เพื่อนๆ ในแดนหลังต้องทำงานหนักหน่วง กระทั่งเสียประตูในที่สุด
ด้วยสภาพจิตใจที่ฮึกเหิม บวกกับแท็กติกที่แยบยลของ อิชิอิ มันจึงทำให้ทีมชาติไทย ทำผลงานได้ดีเกินคาดใน เอเชียน คัพ 2023
แต่กระนั้นก็อย่าเพิ่งหลงระเริงไปกับฟอร์มสุดไฉไล เพราะยังเหลือเกมกับซาอุดีอาระเบีย อีกหนึ่งนัด และที่สำคัญคือบางที 4 แต้ม ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ 16 ทีม สุดท้าย
สิ่งสำคัญของทีมชาติไทย ณ ตอนนี้คือต้องพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองให้อย่าตกลงไปกว่านี้ เพราะถ้ายืนระยะได้ยาวๆ เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะค่อยๆ ตามมาเอง
นอกจากเหนือไปจากนั้น อิชิอิ ก็ควรจะได้โอกาสในการกำกับทัพช้างศึกไปอีกอย่างน้อยๆ ก็ 1 ปี พร้อมมอบอำนาจเขาในการเลือกตัวผู้เล่นแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และถ้าทุกอย่างเป็นไปในทิศบวก ก็ต้องให้เทรนเนอร์วัย 59 ปี มีส่วนกับการวางโครงสร้างฟุตบอลในประเทศ เพราะนี่คือเรื่องใหญ่ต่อการพัฒนาในอนาคตข้างหน้า
ญี่ปุ่น พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฟุตบอลเด็กมีความสำคัญเพียงใด พวกเขากางแผนการระยะยาวด้วยการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นักเตะอายุน้อยมาหลายสิบปี กระทั่งผลิตผลมาออกดอกให้เห็นเช่นทุกวันนี้ กับการที่มีผู้เล่นไม่ต่ำกว่า 50 คน ออกไปค้าแข้งในยุโรป
มันอาจจะต้องใช้เวลานานทีเดียวที่เยาวชนจะเติบใหญ่ แถมระหว่างทางก็ต้องคอยประคบประหงมไม่ให้หลุดออกนอกกรอบ เพราะถ้ากระเจิดกระเจิงเมื่อไหร่ อนาคตที่วางไว้ก็ดับลงในไม่ช้า
แต่ถ้าปรารถนาจะไปให้ถึงฝั่งฝัน ก็ควรเริ่มต้นจากนับหนึ่ง แล้วค่อยๆ ก้าวไปทีละนิดและทำมันอย่างจริงจัง อย่าใช้การโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงไปวันๆ เพราะถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จะวนเวียนอยู่ที่เดิม
มาซาทาดะ อิชิอิ, เอเชียน คัพ และเจแปนโมเดล
ชิกกะด้าว