สรุป 5 ข้อ เกมประเดิมอิชิอิ ทีมชาติไทย บุกพ่าย ญี่ปุ่น

สรุป 5 ข้อ เกมประเดิมอิชิอิ ทีมชาติไทย บุกพ่าย ญี่ปุ่น
แม้ว่าทีมชาติไทย จะบุกไปปราชัยต่อญี่ปุ่น เละเทะ 0-5 ทว่าในความพ่ายแพ้ก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ อยู่เช่นกัน เพราะมันคือประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะทำให้ฟุตบอลบ้านเราเติบใหญ่ในวันข้างหน้า และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!

[ 1 ] ออกสตาร์ตสุดเซอร์ไพรส์

   มาซาทาดะ อิชิอิ สร้างเซอร์ไพรส์พอสมควรสำหรับการจัดตัวผู้เล่น 11 คนแรก ที่ไม่มีทั้ง ธีราทร บุญมาทัน กับ สารัช อยู่เย็น สองนักเตะประสบการณ์สูง รวมไปถึง สุภโชค สารชาติ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา แข้งที่โลดแล่นใน เจลีก

   นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นจาก แบงค็อก ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 3 สโมสรที่กรำศึกหนักในซีซั่นนี้ก็อยู่บนม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ เว้นเพียง ปฏิวัติ คำไหม ผู้รักษาประตูจากค่ายบียูที่ได้ลงเฝ้าเสาตั้งแต่นาทีแรก

   การที่ อิชิอิ จัดทัพเช่นนี้ น่าจะมาจากการที่เขารู้ดีว่าญี่ปุ่น จะต้องมาเล่นแบบเพรสซิ่งใส่ทุกวินาที ทำให้ต้องใช้นักเตะที่มีสภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งในครึ่งแรกนั้นถือว่าแท็กติกที่วางไว้ทำออกมาได้ดีชะงัดกับสกอร์ 0-0 

   ผู้เล่นหลายๆ คนที่ได้รับโอกาสลงสนามต่างก็ทำผลงานได้น่าพอใจ โดยเฉพาะ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ ที่แสดงให้เห็นถึงคลาสฟุตบอลที่ไม่ธรรมดา กับจังหวะครองบอล-จ่ายบอลที่สร้างประโยชน์ได้แทบทุกจังหวะ

   ขณะที่ นิโคลัส มิคเคลสัน ก็เป็นอีกหนึ่งรายที่โดดเด่นในครึ่งแรก เพราะไม่ว่าจะโดนบุกกดดันหนักแค่ไหน แต่เขาก็ยังนิ่งพอที่จะหยุดบรรดาแข้งจอมพลิ้วของ เดอะ บลู ซามูไร ได้อยู่หมัด

[ 2 ] เห็นแววดีจาก อิชิอิ

   แม้จะตกเป็นฝ่ายตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าทีมชาติไทย จะไร้ซึ่งการตอบโต้ เพราะหลายๆ ครั้งเราเองก็ได้บุกกดดันกองหลังเจ้าถิ่นอยู่เช่นกัน กับโอกาสการยิง 6 ครั้ง ตลอดทั้ง 90 นาที ซึ่งนั่นมาจากแท็กติกที่ มาซาทาดะ อิชิอิ ได้วางไว้

   นอกจากนี้ อดีตกุนซือ สมุทรปราการ ซิตี้ ยังกำชับลูกทีมให้บิวต์-อัพจากแดนหลัง ไม่มีเตะทิ้งโดยไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นรองญี่ปุ่น อยู่หลายช่วงตัว ซึ่งผลสกอร์ที่ออกมาห่างถึง 0-5 อาจจะทำให้ห่อเหี่ยวหัวใจ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้าย เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของเฮดโค้ชวัย 56 ปี ที่มีแนวทางชัดเจน

   เขากล้าที่จะดร็อปนักเตะอย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ สารัช อยู่เย็น ซึ่งเป็นแข้งระดับซีเนียร์ พร้อมกับเปิดโอกาสให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ออกจากสตาร์ตเป็นตัวจริง 

   แน่นอนว่าการที่ ธีราทร กับ สารัช ต้องนั่งก่อน น่าจะมาจากการที่กรำศึกอย่างหนักกับต้นสังกัด แต่ถ้าเป็นเทรนเนอร์คนอื่น บางทีคงจะไม่กล้าที่จะตัดสินใจเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ต้องเผชิญหน้าญี่ปุ่น ซึ่งต้องจัดตัวผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนาม

   ผลสกอร์ที่ออกมาอาจจะดูห่างไกล แต่ก็ต้องยอมรับว่ามาตรฐานของ เดอะ บลู ซามูไร เหนือกว่าหลายขุม ทว่าในความพ่ายแพ้ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง กับการได้เห็นถึงกึ๋นของ อิชิอิ ที่มีโอกาสยกระดับให้ทัพช้างศึกในอนาคตข้างหน้า

[ 3 ] สภาพความฟิตแตกต่างชัดเจน

   ในช่วง 45 นาทีแรกไทย สามารถป้องกันเกมบุกของญี่ปุ่น ได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้เจ้าถิ่นไม่สามารถเจาะตาข่ายได้สำเร็จ 

    แต่พอถึงครึ่งหลัง แม้ทาง มาซาทาดะ อิชิอิ จะเปลี่ยนเอาผู้เล่นหลักลงสนาม ซึ่งทำให้หลายๆ คนคาดการณ์กันว่าน่าจะทำได้ดีกว่าเดิม ทว่ากลายเป็นคนละเรื่อง เพราะเสียไปถึง 5 ประตู 

   แน่นอนว่าการที่โดนถลุงเกือบครึ่งโหลในครึ่งหลังนั้นมาจากมาตรฐานของญี่ปุ่น ที่เหนือกว่ามากๆ แถมพวกเขายังส่งนักเตะตัวหลักลงมาทีละราย ซึ่งก็สร้างความแตกต่างแบบจะแจ้ง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือสภาพความฟิตของผู้เล่นไทย ที่เป็นรองจริงๆ

   อาจจะจริงที่ทีมชาติไทย มีเวลาเตรียมตัวน้อยไปหน่อย อีกทั้งยังต้องไปเยือนในประเทศที่มีอากาศหนาวเหน็บ ซึ่งส่งผลต่อเรื่องระบบหายใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าถ้าเรามีสภาพร่างกายที่ดีกว่าที่เห็นอยู่ ผลการแข่งขันอาจจะออกมาดีกว่านี้ก็ได้

[ 4 ] ต้องแก้ไขเรื่องจิตใจ

   หลายๆ ครั้งที่ไทย เผชิญหน้ากับชาติที่ใหญ่กว่ามักจะประสบกับปัญหาเรื่องของสภาพร่างกายที่เป็นรอง และยังมีอีกเรื่องสำคัญคือ 'จิตใจ'

   ก่อนการบุกมากรุงโตเกียว - ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่เปิด ราชมังคลากีฬาสถาน รับการมาเยือนของจีน เกมนั้นทัพช้างศึกออกนำไปก่อนและก็มีรูปเกมที่ดีกว่าชัดเจน ขาดเพียงประตูที่สองที่ยังไม่มาสักที

   กระทั่งมาถูกตีเสมอนั่นแหละ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป จนสุดท้ายต้องปราชัยให้กับทีมจากแดนมังกรคาบ้านตัวเอง 1-2 

   เช่นเดียวกันกับความพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น 0-5 ที่ตอนแรกทำได้เยี่ยมมากๆ กับการเสมอ เดอะ บลู ซามูไร ได้ 0-0 ในครึ่งแรก

   แม้ครึ่งหลังจากถูกยิงนำตั้งแต่นาทีที่ 50 แต่พอมาโดนลูกที่สองในนาทีที่ 72 เท่านั้นแหละ สกอร์ไหลทันที 

   แน่นอนว่ามาตรฐานทางฝั่งเจ้าถิ่นเหนือกว่าเรามาก แต่เรื่องของหัวจิตหัวใจของนักเตะไทย ก็ไม่ควรจะบอบบางขนาดนี้ ซึ่งนี่คือปัญหาในทุกยุคทุกสมัย วันใดที่เล่นดี วันนั้นแพ้ยาก ต่อกรกับทีมแกร่งได้สูสี แต่วันไหนที่โดนยิงนำไปห่าง วันนั้นก็พร้อมจะเละเทะเหมือนกัน

   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสิ่งๆ นี้ มาซาทาดะ อิชิอิ ก็มองเห็น ซึ่งนี่คือ 'การบ้าน' ที่เขาต้องกลับไปแก้ไข เพื่อนำทัพช้างศึกไปให้ไกลที่สุดใน เอเชียน คัพ 2023 ที่กำลังจะฟาดแข้งในช่วงกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้

[ 5 ] ประสบการณ์อันล้ำค่า

   ทุกวันนี้ญี่ปุ่น ยกระดับตัวเองไปอยู่ในทีมหัวแถวของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีหยุดนิ่ง กระทั่งสามารถคว่ำชาติใหญ่ๆ อย่างเยอรมัน หรือสเปน ได้สำเร็จ แถมยังต่อกรกับประเทศชั้นนำได้แบบสูสีอีกต่างหาก

   ดังนั้นการที่ไทย ได้รับเชิญให้ไปอุ่นเครื่องกับ เดอะ บลู ซามูไร จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนื่องจากวินาทีนี้ระดับของทัพช้างศึกนั้นอยู่ห่างไกลจากนักรบบูชิโดกันแบบสุดกู่

   นี่คือเกมกระชับมิตรที่ไทย ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจริงๆ

   ผู้เล่นญี่ปุ่น ชุดนี้หลายๆ คนค้าแข้งในยุโรป แถมยังเป็นตัวหลักให้กับสโมสรอีกต่างหาก ซึ่งแต่ละรายนั้นวินัยดีเยี่ยม จนเห็นได้ว่าพวกเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้ขุนพลจากดินแดนสุวรรณภูมิได้ครองบอลเลย

   ทุกครั้งที่ไทย ได้บอล นักเตะเจ้าถิ่นจะบีบพื้นที่แล้วเข้ารุมแย่งบอล และก็ทำสำเร็จ เพราะมีรูปแบบการเพรสซิ่งที่เป็นระบบ

   พอตัดบอลได้ปุ๊บ พวกเขาจะกระจายตัวทันที นักเตะที่ไม่มีบอลก็จะวิ่งไปหาพื้นที่เพื่อให้เพื่อนได้มีทางเลือกในการจ่ายบอลที่หลากหลายกว่าเดิม 

   นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมญี่ปุ่น จึงมีจังหวะเข้าทำที่หลากหลาย ซ้ายที ขวาที พอไม่มีช่อง ก็หันมาเจาะตรงกลาง 

   นอกจากนี้ เรื่องของสภาพร่างกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฝั่งญี่ปุ่น ดูดีกว่าชัดเจน กับการเคลื่อนที่ตลอดทั้ง 90 นาที ในสนาม ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ว่าถ้าต้องการจะไต่ไปให้ถึงระดับนั้น ควรจะทำเช่นไร

   ความเฉียบขาดในจังหวะสุดท้ายก็เป็นอีกเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดในโลกของฟุตบอล เพราะกีฬาชนิดนี้นับผู้ชนะกันที่จำนวนสกอร์เท่านั้น ต่อให้เล่นสวย เล่นดี แต่ถ้ายิงประตูไม่ได้ คุณก็มีโอกาสเป็นฝ่ายแพ้เช่นกัน

   ไทย ซึ่งมีโอกาสอยู่ 6 ครั้ง แต่กลับไม่สามารถยิงตรงกรอบเลยสักหน นี่คือเรื่องที่ต้องพยายามปรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะการสู้กับญี่ปุ่น ได้ขนาดนี้ ถือว่าทำกันอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ต้องใช้บทเรียนจากการเผชิญหน้าทีมระดับโลกนี่แหละ เป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้ไกลกว่าเดิม


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport