ทีมชาติไทย กลับมาทำผลงานในเกมอุ่นเครื่องได้ดีอีกครั้ง ด้วยการบุกเสมอเอสโตเนีย 1-1 แม้จะไม่สามารถคว้าชัยกลับมาได้ แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ อีกมากมายที่ต้องชื่นชม และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[1 ] จัดแผนโดนใจ
อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ปรับแผนการเล่นจากเกมแพ้จอร์เจีย เละเทะ จากเดิม 3-5-2 มาเป็น 4-3-3 จามถนัด ซึ่งผลงานที่ออกมาถือว่าทำได้ดีมากๆ
บดินทร์ ผาลา ที่เล่นวิงแบ็กฝั่งซ้าย และกลายเป็นหนึ่งในจุดที่ให้คู่ต่อสู้โจมตีบ่อยๆ ถูกขยับให้ไปยืนสูงตามถนัด แล้วส่ง จักรกฤษ ลาภตระกูล ลงมาเล่นแนวรับ
ส่วนแดนกลาง วีระเทพ ป้อมพันธุ์ และ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ยังคงเป็นตัวหลัก พร้อมกับเอา กฤษดา กาแมน ที่ยืนเป็นหนึ่งใน 3 ปราการหลังจากนัดแรกมายืนประสานงานในแผงมิดฟิลด์ โดยที่แดนหน้า ยศกร บูรพา ออกสตาร์ตแทนที่ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย
การจัดตัวในลักษณะนี้ บ่งชี้ได้ชัดเจนว่าทีมชาติไทย พร้อมเปิดหน้าสู้กับเอสโตเนีย อย่างแท้จริง และด้วยความคุ้นชินกับระบบนี้ บวกด้วยความมุ่งมั่นที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาพรวมของเกมที่ออกมาก็จัดว่าทำได้ดีมากๆ ผิดจากนัดที่แพ้จอร์เจีย โดยสิ้นเชิง
__________
[ 2 ] วิ่งสู้ฟัดกว่าเดิม
ด้วยกระแสติดลบมหาศาลกับความพ่ายแพ้ต่อจอร์เจีย 0-8 ทำให้ 'ความกดดัน' ถูกถาโถมเข้ามาสู่ทีมชาติไทย แบบไม่มีเม้ม ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งที่ขุนพลช้างศึกชุด ฟีฟ่า เดย์ ตุลาคม 2023 ต้องก้มหน้าเผชิญแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง
'สภาพจิตใจ' เป็นสิ่งที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง และทีมงานต้องพยายามปลุกใจให้นักเตะกลับมาให้เร็วที่สุด เพราะถ้ายังไม่สามารถลืมเลือนความผิดหวังจากนัดแรก มันจะส่งผลกระทบมาถึงเกมพบเอสโตเนีย ในทันที
ทว่าสิ่งที่เห็นตลอดทั้ง 90 นาทีที่ ลิลเล่คูล่า สเตเดี้ยม นั้นต้องยกเครดิตส่วนใหญ่ให้กุนซือเชื้อสายบราซิล-เยอรมัน ที่สามารถเรียกความมั่นใจให้กับผู้เล่นไทย ให้หวนคืนสู่ฟอร์มที่ดีได้อีกครั้ง
สิ่งที่นักเตะช้างศึกแสดงออกมาในสนามคือความทุ่มเทตลอดทั้งเกม 11 ตัวจริง รวมไปถึงคนที่เพิ่งลงมาในครึ่งหลังต่างวิ่งสู้ฟัด ไล่บอลทุกจังหวะ บีบพื้นที่และไม่ปล่อยให้เจ้าถิ่นเล่นได้ง่ายๆ
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เริ่มปรับตัวกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บได้มากขึ้น ระบบการหายใจจึงเริ่มกลับมาเป็นปกติ มันจึงส่งผลให้สามารถเล่นได้ตามที่ตนเองนึกคิด
ภาพจำจากเกมแพ้จอร์เจีย แบบหมดรูป จึงเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับแมตช์เสมอเอสโตเนีย 1-1 และนั่นคือสิ่งที่ต้องชื่นชมทั้งสตาฟฟ์โค้ช รวมไปถึงนักเตะที่ลงไปสู้เพื่อธงไตรรงค์บนอกข้างซ้าย นี่คือการ 'รวมใจ' ของคำว่าทีม ซึ่งเมื่อทุกคนเชื่อมกันเป็นหนึ่ง ผลการแข่งขันที่ออกมาจึงเป็นไปในทางที่ดี
__________
[ 3 ] แดนกลางฟอร์มแจ่ม
ปัจจุบัน ตำแหน่งที่ทีมชาติไทย มีนักเตะให้เลือกใช้มากที่สุดคือ 'กองกลาง' (ไม่นับรวมเพลย์เมเกอร์) เพราะมีผู้เล่นเก่งๆ มากมายที่พร้อมจะเบียดแย่งลงสู่สนาม แม้ว่าทัพช้างศึกชุดนี้จะไม่มีตัวหลักอย่าง สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี หรือแม้แต่ ธีราทร บุญมาทัน ที่ระยะหลังมักจะมายืนปักหลักอยู่ในแผงมิดฟิลด์
ทว่าทีมชุด ฟีฟ่า เดย์ ตุลาคม 2023 นั้นก็ยังมี วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กับ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ที่เป็นขาประจำ และการที่ยังมีคู่นี้อยู่ก็ทำให้แดนกลางของไทย เชื่อใจได้
อย่างไรก็ตาม เกมแรกที่แพ้จอร์เจีย นั้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบการเล่นที่ไม่เป็นธรรมชาติและสภาพอากาศที่ส่งผลชัดเจน มันจึงทำให้ฟอร์มของนักเตะผิดเพี้ยนไปหมด
ในเมื่อมี วีระเทพ และ พิธิวัตต์ ซึ่งเชิงบอลไม่ธรรมดาอยู่แล้ว รวมถึงการที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ขยับ กฤษดา กาแมน มายืนในแดนกลาง มันจึงทำให้แผงมิดฟิลด์ของไทย ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะครึ่งแรกที่ครองบอลเหนือกว่าเอสโตเนีย ด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งตอนจบการแข่งขัน ก็ไม่ได้เป็นรองเลย
__________
[ 4 ] กัมพล ยิ่งเล่นยิ่งดี
ผลเสมอกับเอสโตเนีย 1-1 มีหลายคนที่ต้องชื่นชม ไล่ตั้งแต่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ที่วางแท็กติกได้เยี่ยม รวมไปถึงการเยียวยาสภาพจิตใจ ที่เขาสามารถฟื้นฟูลูกทีมให้กลับมาได้ไวจริงๆ และแน่นอนว่าต้องซูฮกการวิ่งสู้ฟัดของนักเตะทุกคน
ทว่าคนที่โดดเด่นที่สุดตลอด 2 เกมกับการทัวร์ยุโรป ต้องยกให้ กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล ผู้รักษาประตูชาวภูเก็ต ที่รักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ในระดับสโมสร แต่มันต่อยอดมาถึงทีมชาติไทย
เกมแพ้จอร์เจีย หากไม่ได้นายทวารวัย 31 ปี บางทีทัพช้างศึกอาจจะถูกทะลวงตาข่ายไปมากกว่านี้แล้ว
พอมาถึงแมตช์พบเอสโตเนีย - กัมพล ก็ยังโชว์ฟอร์มได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกที่เซฟลูกยิงเหน่งๆ ของกองหน้าเจ้าถิ่น จนทำให้ไทย ไม่เพลี่ยงพล้ำไปก่อน พอครึ่งหลัง ก็มีจังหวะออกมาตัดบอลได้สวยๆ หลายครั้ง ส่วนลูกที่ถูก เฮนรี่ อานิเยร์ ยิงเข้าไป นั้นก็หมดปัญญาที่เข้าจะป้องกันจริงๆ
ด้วยฟอร์มแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าทั้ง ฉัตรชัย บุตรพรม, ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน และ ปฏิวัติ คำไหม ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูตัวเลือกแรกๆ คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ เป็นแน่ เพราะเวลานี้ ผู้ท้าชิง 'มือหนึ่ง' มีเพิ่มมาอีกรายแล้ว
__________
[ 5 ] การจบสกอร์ยังเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข
โดยรวมทั้งหมด ตลอด 90 นาที ทีมชาติไทย ทำผลงานได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นแนวรับที่เล่นได้อย่างมีระเบียบวินัย, แดนกลางครองบอลไม่มีตื่นลนและแนวรุกที่สามารถสร้างโอกาสได้มากมาย
เมื่อองค์ประกอบทุกตำแหน่งลงตัว แต่ถ้าสุดท้ายไม่สามารถจบสกอร์ได้ สิ่งที่ทำดีมาก็ 'เปล่าประโยชน์' ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทีมชาติไทย คงต้องกลับไปแก้ไขกันต่อในอนาคต
โอกาสของเกมที่เสมอเอสโตเนีย มีถึง 12 ครั้ง เป็นการตรงกรอบ 6 ครั้ง และทำให้ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่นเซฟถึง 5 หน ก่อนจะได้มา 1 ประตู
จากตัวเลขที่ออกมา มันอาจจะไม่ได้ดูเลวร้าย ทว่ามีอยู่ 2-3 จังหวะที่ไทย ควรทำได้ดีกว่านี้ แต่กลับพลาดการได้ประตูไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งถ้าจะก้าวข้ามจากมาตรฐานที่เป็นอยู่ เรื่องการจบสกอร์ในพื้นที่สุดท้ายคือตัวชี้วัดว่าคุณจะไปต่อได้ไกลเพียงใด
ปัญหาตรงจุดนี้ เชื่อว่า อเล็กซานเดร โพลกิ้ง เองก็คงรู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องนำไปแก้ไข และตอนนี้ก็ยังมีเวลาอยู่พอสมควร ก่อนที่ทัพช้างศึกจะลงเล่นในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รวมไปถึง เอเชียน คัพ 2023 ซึ่งเป็นสองทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ทุกคนเฝ้ารอ
หากรักษาผลงานเหมือนเกมเสมอเอสโตเนีย ไว้ บวกกับการได้นักเตะตัวหลัก (จริงๆ) กลับมาอีกครั้ง และปรับปรุงความเฉียบขาดให้ดีขึ้น รับประกันเลยว่าแฟนฟุตบอลชาวไทย คงจะยิ้มร่ากันถ้วนหน้าแน่นอน