ฟุตบอลทีมชาติไทย บุกมาแพ้ต่อ จอร์เจีย แบบยับเยิน ด้วยสกอร์ 0-8 ท่ามกลางความวุ่นวายหลายหลาก เพราะนี่ไม่ใช่ทัพ "ช้างศึก" ชุดที่ดีที่สุด แต่กระนั้นมันก็บ่งบอกถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ลึกๆ
และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] บดินทร์ ไม่ควรยืนวิงแบ็กฝั่งซ้าย
การออกสตาร์ตด้วยระบบ 3-5-2 ปราการหลังมี เอเลียส ดอเลาะ ยืนตรงกลาง ขนาบข้างด้วย กฤษดา กาแมน และ จักพัน ไพรสุวรรณ - ฟูลแบ็กฝั่งขวา ทริสต็อง โด ส่วนด้านซ้ายเป็น บดินทร์ ผาลา
ถือว่าเป็นไปตามทรง เพราะไทย เป็นรองเจ้าถิ่นอยู่พอสมควร ดังนั้นการแพ็คเกมรับให้แน่นหนาจึงเป็นไปตามแท็กติกพื้นฐาน แต่กลายเป็นการวางแผนที่ "ผิดพลาด" อย่างแรง
โดยเฉพาะการเอา บดินทร์ ไปยืนเป็นวิงแบ็กฝั่งซ้าย แม้ว่านักเตะวัย 28 ปี จะเคยเล่นตำแหน่งนี้มาก่อน สมัยที่เพิ่งโลดแล่นในวงการลูกหนังอาชีพใหม่ๆ แต่ปัจจุบันหนักไปทางเกมรุกซะส่วนใหญ่ ดังนั้นมันจึงเหมือนการฝืนธรรมชาติของเขา
ไม่ใช่ว่าปีกชาวอุบลราชธานี ทำหน้าที่ของตนเองได้ไม่ดี แต่ศักยภาพที่ดีที่สุดของของเขาคือการเล่นแดนบน ทว่าพอต้องมาช่วยเกมรับ จึงกลายเป็นว่าจังหวะต่างๆ ดูจะขาดๆ เกินๆ และเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า ผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็น
3 จาก 6 ประตู ในครึ่งแรก ก็มาจากการที่จอร์เจีย โจมตีทางฝั่งซ้ายของไทย นี่แหละ
กระทั่งครึ่งหลังที่ปรับเป็น 4-2-3-1 และเอา จักรกฤษ ลาภตระกูล ลงมายืนแบ็กซ้าย รูปเกมของทัพช้างศึกจึงดูกระเตื้องขึ้น แม้จะไม่สามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เห็นว่า 3-5-2 ที่ใช้ บดินทร์ ยืนอยู่ริมเส้นนั้นเป็นหนึ่งในจุดอ่อนจริงๆ
[ 2 ] สภาพอากาศมีผลชัดเจน
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมชาติไทย พ่ายแพ้แบบเละเทะคือเรื่องของ "สภาพร่างกาย" ที่ไม่คุ้นชินกับอากาศอันหนาวเหน็บบนแผ่นดินยุโรป แม้ว่าจะลัดฟ้าสู่ดินแดนตะวันตกตั้งแต่ค่ำคืนวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม
ทว่าระยะเวลาเพียงน้อยนิด นักเตะคงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเย็นที่จอร์เจีย ได้ทันที
ด้วยความที่นักเตะช้างศึกมาจากเมืองร้อน การไปเล่นในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศติดลบ ย่อมส่งผลกระทบแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะระบบหายใจที่ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าเดิม
อย่าว่าแต่ไทย ไปเล่นในยุโรป เลย หากก๊วนยุโรป มาเล่นที่ไทย พวกเขาก็ต้องใช้เวลาปรับตัวเช่นกัน ดูอย่างฟุตบอลโลกหนล่าสุดที่แข่งขันกันที่กาตาร์ - บรรดาชาติใหญ่ๆ ต่างก็ต้องเข้าแคมป์เก็บตัว เพื่อปรับร่างกายให้สนิทกับอากาศที่ร้อนชื้น ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์แห่งมวลมนุษยชาติจะเริ่มขึ้น
พอหายใจลำบาก มันย่อมทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ปกติ และฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลังเสียด้วย การที่ไม่สามารถทำได้ตามใจนึก มันย่อมส่งผลกระทบต่อการเล่นแน่นอน
หลายๆ จังหวะระหว่างการแข่งขัน นักเตะที่มาตรฐานสูงอย่าง กฤษดา กาแมน หรือ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ สามารถทำได้ดีกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นเงอะงะ มีจังหวะผิดพลาดอยู่หลายหน
นอกจากนี้ เรื่องของการหายใจก็ส่งผลถึงจังหวะการวิ่ง เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าแข้งช้างศึกพยายามสู้สุดตัวแล้ว แต่เหมือนขามันก้าวไม่ค่อยออก หรือไม่ก็ก้าวช้ากว่าปกติ และพอโดนจู่โจมแบบนันสต็อป ผลจึงลงเอยด้วยสกอร์มโหฬาร
[ 3 ] ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
"ฟุตบอลไทย จะไปฟุตบอลโลก" คำกล่าวนี้คงจะถึงคราวยุติลงเสียที หากยังไม่มีการพัฒนากันแบบจริงๆ จังๆ เพราะนี่ขนาดเจอกับจอร์เจีย ที่ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้การผ่านเข้าไปเล่น ยูโร รอบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ แต่ยังแพ้ยับเยินถึงเพียงนี้
อาจจะจริงที่ทัพช้างศึกชุดนี้ไม่ใช่ชุดใหญ่ แต่ถึงจะมาแบบฟูลทีม ก็ใช่ว่าจะเก็บชัยจากคู่ต่อกรทีมนี้ได้
สภาพร่างกาย, แท็กติก, ความเข้าใจเกม, ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่น, ทักษะ, เกมรับ, จังหวะสุดท้ายและอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องนำบทเรียนที่ได้มากลับมาปรับปรุงแก้ไข แล้วพัฒนาต่อในอนาคต
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเรายังห่างไกลจาก "เวิลด์คัพ" รอบสุดท้าย และที่สำคัญก็ห้ามลืมว่าหลายๆ ชาติก็ค่อยขยับมาตรฐานขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ไทย ยังวนเวียนอยู่กับการเป็นแชมป์ อาเซียน คัพ
การได้ลับแข้งกับทีมที่เก่งกว่าคือประโยชน์ล้วนๆ เพราะมันทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น แต่จะเดินหน้าต่อหรือถอยหลังลง อันนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วล่ะ ว่าจะจัดการกับมันเช่นไร เพราะฟุตบอลไทย ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
[ 4 ] กัมพล เด่นสุด, พิธิวัตต์ คือมิดฟิลด์เท่านั้น, ยศกร ยังต้องใช้เวลา
บนความพ่ายแพ้จอร์เจีย 0-8 คงได้เห็นอะไรต่างๆ มากมาย แต่เมื่อมองรายบุคคล หากไม่ได้การเซฟ 14 ครั้งของ กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล บางทีทัพช้างศึกอาจจะเละเทะกว่าที่เป็นอยู่
ผู้รักษาประตูจาก ราชบุรี เอฟซี พยายามสุดตัวที่จะป้องกันพายุเกมบุกของคู่แข่ง ซึ่งแต่ละลูกที่โดนเจาะตาข่ายนั้นสุดปัญญาที่จะปฏิเสธได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ได้เห็นว่าฝีมือของจอมหนึบชาวภูเก็ต คนนี้เก่งกาจเพียงใด และคงต้องบอกว่าเขาคงจะก้าวขึ้นมาแย่งชิงความเป็นเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย ได้แล้ว
พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล เป็นอีกคนที่ผลงานถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน เพราะการได้กลับมายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง เราจึงได้เห็นประสิทธิภาพสูงสุดจากตัวเขา หลังถูกขยับไปเล่นแบ็กซ้ายกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด อยู่หลายเกม
แม้จะไม่สามารถช่วยให้ไทย รอดพ้นจากความปราชัย แต่ผลงานส่วนตัวของกองกลางชาวระยอง ก็ถือว่าไว้ใจได้ในระยะยาว แต่ต้องเล่นตำแหน่งที่ตนเองถนัดเท่านั้น
ส่วนอีกรายที่น่าสนใจคือ ยศกร บูรพา ศูนย์หน้าวัย 18 ปี ของ ชลบุรี เอฟซี ที่ได้โอกาสประเดิมการรับใช้ทัพช้างศึก ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้ดีทีเดียว ไม่มีตื่นหรือลนลานให้เห็น แถมยังเบียดปะทะกับกองหลังจอร์เจีย ได้แบบดุเดือด
เรียกได้ว่ามีอนาคตที่สดใสรออยู่ภายภาคหน้าแน่นอน
ทว่าสิ่งที่เขาจำเป็นต้องปรับปรุงคือเรื่องการตัดสินใจในพื้นที่สุดท้าย เพราะในจังหวะหลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตูจอร์เจีย ลูกนั้นคือต้องเป็นสกอร์เท่านั้น เพราะไม่มีโอกาสไหนจะเหน่งๆ ไปกว่านี้แล้ว
สิ่งที่ชี้วัดระหว่าง "กองหน้าที่ดี" กับ "กองหน้าที่ไว้ใจได้" คือเรื่องของจังหวะสุดท้ายนี่แหละ
หากว่า ยศกร ปรับเปลี่ยนจุดนี้ได้ไวเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งเก่งกาจเร็วเท่านั้น ซึ่งด้วยวัยเพียง 18 ปี ยังมีเวลาอีกมากมายให้เรียนรู้
[ 5 ] เสียดายที่ไม่ใช้ชุดที่ดีที่สุด
จริงๆ แล้วการมาเปิดประสบการณ์บนทวีปยุโรป เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แม้จะไม่ได้อุ่นเครื่องกับทีมชาติใหญ่ๆ เพราะแรงกิ้งห่างกันบานตะไท แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้จากจอร์เจีย หรือเอสโตเนีย ก็คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเมื่อนำกลับสู่เมืองไทย
เรียกได้ว่าด้วยอันดับใน ฟีฟ่า โอกาสมาตะลุยดินแดนตะวันตกคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คือนานทีปีหน พวกเขาถึงจะตอบรับเรานั่นแหละ
แถมตามประกาศจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ว่าทัพช้างศึกจะกรีธาสู่ยุโรป แน่นอนในช่วงตุลาคม ก็ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ หรือราวๆ 8 เดือนก่อนแข่งขัน
ไม่พอเพียงเท่านี้ ในปี 2023 ต่อด้วย 2024 เรามีทัวร์นาเมนต์ใหญ่รออยู่ 2 รายการ คือ "คัดเลือกฟุตบอลโลก 2026" และ เอเชียน คัพ รอบสุดท้าย
โดยเฉพาะ เวิลด์คัพ ควอลิฟาย โซนเอเชีย ที่เตรียมประเดิมสนามกับจีน ก็จะหวดกันในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
ดังนั้นการจัดการต่างๆ จึงน่าจะตระเตรียมให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่กลายเป็นว่าทริปลัดฟ้าสู่ยุโรป กลับไม่สามารถใช้งานนักเตะชุดที่ดีที่สุดได้ซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เหลืออีกราวๆ 30 กว่าวัน ก็จะต้องเผชิญหน้ากับจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย อีกต่างหาก
มันเหมือนเป็นการลงสนามเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในทีมให้เข้าใจแท็กติกมากขึ้น แถมการได้เจอกับจอร์เจีย หรือเอสโตเนีย ที่แข็งแกร่งกว่าเรา มันจึงเป็นเหมือนการชี้วัดกลายๆ ว่ามีสิ่งใดต้องปรับก่อนจะเริ่มศึกใหญ่
สุดท้ายกลายเป็นทีมชาติไทย ชุดผสมที่ได้ประสบการณ์อันล้ำค่ากลับไป
ส่วนชุดที่ดีที่สุด ก็ต้องไปรอชมกันเองในวันที่ 16 และ 21 ของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถ้าผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย โลกออนไลน์คงจะร้อนเป็นไฟไม่ต่างจากเกมแพ้จอร์เจีย 0-8 แน่ๆ