5 ข้อหลังเกมทีมชาติไทย พ่ายจุดโทษอิรัก ชวดแชมป์ คิงส์ คัพ ที่รอคอย

5 ข้อหลังเกมทีมชาติไทย พ่ายจุดโทษอิรัก ชวดแชมป์ คิงส์ คัพ ที่รอคอย
ทีมชาติไทย ยังคงรอคอยถ้วยแชมป์ คิงส์ คัพ กลับมาอีกครั้ง หลังพลาดท่าปราชัยอิรัก ในการดวลลูกจุดโทษด้วยสกอร์รวม 6-7 (เสมอในเวลาปกติ 2-2) แม้จะผิดหวัง แต่มันก็มีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!

[ 1 ] โพลกิ้ง จัดทัพถูกใจแฟนๆ

อเล็กซานเดร โพลกิ้ง มีการปรับตำแหน่งหลายจุดจากเกมในนัดแรก ไล่ตั้งแต่เปลี่ยนระบบมาเล่น 4-3-3 ตามถนัด (เกมชนะเลบานอน ใช้ 3-5-2) โดยเปลี่ยนเอา เอเลียส ดอเลาะ มายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ พรรษา เหมวิบูลย์ พร้อมกับดัน กฤษดา กาแมน และ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กลับไปอยู่ในแผงมิดฟิลด์ตามถนัด

ฟูลแบ็ก ฝั่งซ้าย ธีราทร บุญมาทัน กลับมาประจำการ ส่วนฟากขวา นิโคลัส มิคเคลสัน ครองพื้นที่ตามเดิม

การที่ เอเลียส กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง น่าจะมาจากฝั่งอิรัก นั้นเต็มไปด้วยนักเตะตัวใหญ่ยักษ์ กุนซือวัย 47 ปี จึงจำเป็นต้องใช้ผู้เล่นที่เก่งกาจในเรื่องของลูกกลางอากาศ เพราะความสูง 1.98 เมตร นั้นช่วยทีมได้ทั้งเกมรับและรวมไปถึงตอนที่ทัพช้างศึกบุกใส่คู่แข่ง 

ดังนั้นแดนกลาง พอมี กฤษดา และ วีระเทพ ซึ่งเป็นนักเตะที่ครองบอลดี คนหนึ่งวางบอลยาวได้ลุ้น อีกคนหนึ่งจ่ายบอลสั้นแม่นยำ มันจึงทำให้ สารัช อยู่เย็น ขยับไปยืนเป็นเพลย์เมเกอร์อยู่หลังแนวรุกด้านบน 

มันอาจจะไม่ใช่ภาพที่คุ้นชินนัก ทว่านักเตะเชือกวิเศษเคยเล่นตำแหน่งนี้มาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน จึงไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อีกทั้งการมี ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างดี ยืนค้ำข้างหน้าก็ช่วยให้เขางานเบาไปเยอะ

แต่ที่น่าจะถูกอกถูกใจแฟนฟุตบอลชาวไทยที่สุดคือการใช้ สุภโชค สารชาติ ในตำแหน่งตัวรุกด้านข้าง แม้จะอยู่ฝั่งขวา แต่เขาก็สำแดงเดชด้วยการทำไป 1 แอสซิสต์ให้ บดินทร์ ผาลา โหม่งตีเสมอ  2-2

ด้วยตัวนักเตะและผังการเล่น แม้จะมีขัดใจนิดๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมต้องถือว่าโอเคกว่านัดแรกมากทีเดียว    

[ 2 ] สนามลื่นทำเกมไม่ต่อเนื่อง

การที่ฝนตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน จนทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปราวๆ 30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามทำการเคลียร์น้ำที่ขังในหลายๆ จุด นั้นส่งผลต่อการเล่นของทั้งไทย และอิรัก อย่างแท้จริง 

ทั้งทัพช้างศึกและสิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลกับพื้นเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเจอสภาพสนามที่ชื้นแฉะ จึงไม่สามารถใช้จุดเด่นออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ 

ฝั่งไทย ก็มีหลายๆ จังหวะที่ไม่สามารถต่อบอลแบบเท้าต่อเท้าตามถนัด จนทำให้สปีดเกมลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่อิรัก อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยตรงที่พวกเขาอุดมไปด้วยนักเตะสูงใหญ่ จึงใช้จุดแข็งจุดนี้โจมตี และมันก็นำมาซึ่งประตูแรกนั่นเอง

หากว่าสภาพภูมิอากาศเป็นใจกว่านี้ บางทีรูปเกมอาจจะเปลี่ยนไปอีกอย่าง และแฟนๆ คงจะได้เห็นการสู้กันอย่างสนุกของทั้ง 2 ทีม

[ 3 ] ธีราทร กับลูกเปิดระดับ 'เวิร์ลคลาส' ของเขา 

ประตูตีเสมอ 1-1 ต้องยกเครดิตให้ ธีราทร บุญมาทัน แบบเต็มๆ กับแอสซิสต์ระดับ 'เวิร์ลคลาส' ที่วางบอลจากฟากซ้ายลอยไกลไปให้ นิโคลัส มิคเคลสัน เติมขึ้นมาโขกเน้นๆ อย่างแม่นยำ

การจ่ายบอลให้เพื่อทำประตูนี้เป็นแอสซิสต์ที่ 12 ของอดีตแชมป์ เจลีก ที่ทำได้ในยุคของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง (คุมทีม 33 นัด) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมากๆ เพราะอย่าลืมว่าแข้งวัย 33 ปี เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายและสลับเป็นกองกลางบ้างในบางคราว

คุณประโยชน์ของ ธีราทร ไม่ได้มีแค่เรื่องของการแอสซิสต์ หากแต่ยังเพิ่มบวกในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม, การควบคุมสถานการณ์ที่กดดัน, คอยประคองรุ่นน้อง หรือแม้แต่เรื่องของความฮึกเหิมที่เขามักจะส่งกระแสไปถึงแฟนๆ รวมถึงผู้เล่นด้วยกัน

ภาพชัดคือจังหวะที่ มิคเคลสัน โหม่งประตูแรกในนามทีมชาติไทย เขาแหกปากดีใจ พร้อมกับทะยานมาดีใจกับกัปตันช้างศึกในทันที

ด้วยสภาพร่างกายที่ยังฟิตปั๋ง แถมยังเป็นผู้เล่นที่ฉลาดเป็นกรด ทำให้เขาน่าจะโลดแล่นในเกมระดับสูงได้อีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ทว่าต่อจากนี้นี่แหละคือโจทย์ใหญ่ที่ต้องควานหา 'ตัวแทน' แบ็กซ้ายในอนาคต เพราะมาตรฐานที่ ธีราทร สร้างไว้ คงยากที่จะนำคนอื่นมาเทียบเทียม 

[ 4 ] ฉัตรชัย ไว้ใจได้เสมอ 

แม้จะเสียไป 2 ประตู ซึ่งเป็นลูกยิงระยะเผาขนที่หมดปัญญาที่จะป้องกัน แต่เมื่อมองไปที่ภาพรวม ผลงานของ ฉัตรชัย บุตรพรม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และน่าจะทำให้แผงหลังอุ่นใจได้อีกนาน

ความเก่งกาจของจอมหนึบชาวกำแพงเพชร ไม่ได้มีเพียงแค่การเซฟ เพราะเขาเป็นผู้รักษาประตูที่อ่านเกมอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จาก 2 จังหวะ ในแมตช์เสมออิรัก 2-2 ที่ออกมาดักทางได้ก่อนที่กองหน้าคู่แข่งจะถึงบอล

แม้มันจะค่อนข้างหวาดเสียว แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือเรื่องของ 'สมาธิ' ที่จดจ่ออยู่กับการแข่งขันในสนาม จนสามารถช่วยกองหลังที่อาจจะพลั้งเผลออยู่บ้าง

นอกจากนี้ การเปิดบอลจากแดนตัวเองของ ฉัตรชัย ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจังหวะที่ส่งให้ สุภโชค สารชาติ อย่างแม่นยำในนาทีที่ 36 ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่านายทวารวัย 36 ปี มีสายตาเฉียบแหลมเพียงใด

หากยังรักษามาตรฐานได้ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง รับประกันเลยว่าเขาคงจะครองตำแหน่ง 'มือหนึ่ง' ให้ทัพช้างศึกไปอีกหลายปีทีเดียว

ส่วนในช่วงดวลลูกจุดโทษ เรื่องนี้คงจะกล่าวโทษผู้รักษาประตูจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คงไม่ได้ เพราะเขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถและก็เกือบเซฟได้เช่นกัน แต่ฝั่งอิรัก นั้นยิงได้เฉียบขาดจริงๆ 

[ 5 ] มาตรฐานของไทย ขยับขึ้นอย่างแท้จริง

นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ทีมชาติไทย เผชิญหน้ากับอิรัก มาแล้ว 4 หน (ไม่นับรวม คิงส์ คัพ 2023) และก็ไม่มีครั้งใดที่ทัพช้างศึกสามารถเอาชนะสิงโตแห่งเมโสโปเตเมียได้เลย นับถึงปัจจุบันก็เป็นปีที่ 9 ติดต่อกันแล้ว

โดย 4 เกมก่อนหน้านั้นผลสกอร์ปรากฏดังนี้

8 กันยายน 2015 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) ไทย 2 - 2 อิรัก

24 มีนาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) อิรัก 2 - 2 ไทย

11 ตุลาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) อิรัก 4 - 0 ไทย

31 สิงหาคม 2017 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) ไทย 1 - 2 อิรัก 

ตลอดทั้ง 4 เกม นอกจากไทย จะไม่สามารถเอาชัยเหนือคู่แข่งรายนี้ได้ รูปเกมที่ออกมาในแต่ละนัดก็เป็นรองอยู่พอสมควร เพราะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเล่นบ้านใคร อิรัก ก็จะเป็นฝ่ายไล่โขยกช้างศึกอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม คิงส์ คัพ 2023 รอบชิงชนะเลิศ กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะว่าไทย สามารถครองเกมกดดันอาคันตุกะจากเอเชียตะวันตกได้เกือบตลอดทั้ง 90 นาทีในสนาม แถมหลายๆ จังหวะอิรัก ต้องงัดลูกหนักเพื่อหยุดนักเตะแดนขวานทอง จนโดนใบเหลืองไปถึง 3 คน

จากสิ่งที่นักเตะไทย แสดงออกมาในสนาม หัวใจนักสู้ และรวมถึงแท็กติกต่างๆ ที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ได้วางไว้ มันสะท้อนให้เห็นแบบชัดเจนว่ามาตรฐานของไทย ขยับสูงขึ้นอย่างแท้จริง 

ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อคือเรื่องของความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการปรับแก้และเรียนรู้

แต่การที่ห้ำหั่นกับอิรัก ได้แบบเหนือกว่าเช่นนี้ มันเป็นสัญญาณในทิศทางบวกว่าเรากำลังไปได้สวยในโลกลูกหนัง ขอเพียงทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน โดยมีผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ช่วยกันพัฒนารากฐานเยาวชน ให้ความรู้เรื่องฟุตบอลอย่างทั่วถึง และไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

รับประกันเลยว่าอนาคตอันใกล้นี้ คงจะได้เห็นทัพช้างศึกต่อกรกับชาติใหญ่ๆ ได้อย่างสูสีแน่นอน


ที่มาของภาพ : SIAMSPORT
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport