ฟุตบอลชายซีเกมส์ไร้อัดฉีด กกท.จี้ สมาคมบอลไทย แจงข้อเท็จจริงเหตุวิวาท

ฟุตบอลชายซีเกมส์ไร้อัดฉีด กกท.จี้ สมาคมบอลไทย แจงข้อเท็จจริงเหตุวิวาท
ทีมช้างศึกไทย กลายเป็นทีมกีฬาชนิดเดียวที่วืดเงินอัดฉีดกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 หลังนักเตะและสตาฟฟ์ ก่อเรื่องฉาว ทะเลาะวิวาทในนัดชิงฯศึกซีเกมส์ 2023 “ดร.ก้อง” ชี้เป็นการชะลอจ่ายเงินอุดหนุน ขอสมาคมกีฬาฟุตบอลชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาอย่างละเอียดถึงความเหมาะสม ก่อนจ่ายอัดฉีดย้อนหลัง รับหลังจากนี้ต้องกติการ่วมกันถึงการเป็นตัวแทนทีมชาติ หากก่อเรื่องอื้อฉาวลักษณะนี้ ต้องมีบทลงโทษ ยันรัฐบาลและกกท.พร้อมทำงานกับสมาคมฟุตบอล แจงเรื่องไม่สนับสนุนไม่จริง เพราะที่ผ่านมาอนุมัติเงินอุดหนุนให้สมาคมอย่างต่อเนื่องถึง 300 ล้านบาท และปี 2566 จ่ายให้แล้ว 90 ล้านบาท

ควันหลังประเด็นการมอบเงินรางวัลสนับสนุนความสำเร็จทัพนักกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ซึ่งรัฐบาลไทย จัดงานเมื่อช่วงสายวันที่ 6 ก.ค.66 โดยทีมกีฬาทุกทีม ที่เป็นตัวแทนประเทศไทย ต่างส่งตัวแทนมาร่วมงาน เพื่อเข้ารับเงินรางวัลอุดหนุนกันอย่างถ้วนหน้า ทว่าทีมฟุตบอลชาย ซึ่งคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันในศึกซีเกมส์ที่กัมพูชา กลับเป็นเพียงทีมกีฬาเดียว ที่ไม่อยู่ในลิสต์รายชื่อทีมกีฬาที่ได้รับเงินสนับสนุนและตอบแทนความสำเร็จจากรัฐบาลในงานดังกล่าว

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า สำหรับทีมฟุตบอลหญิงที่ได้เหรียญทองแดงนั้น ไม่มีปัญหา มีการมอบเงินอุดหนุนให้ในงานดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทว่าในส่วนของเงินรางวัลของทีมฟุตบอลชายนั้น ต้องชะลอการมอบเอาไว้ก่อน เพราะจากปัญหาที่เกิดเรื่องวิวาทในรอบชิงชนะเลิศ กับ อินโดนีเซีย ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของวงการกีฬาประเทศไทยพอสมควร ซึ่งกกท.ได้ขอให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทำหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ

“หากจะบอกว่ารัฐบาลไทยไม่ให้การสนับสนุนสมาคมฟุตบอล เรื่องนี้ถือว่าไม่จริง เพราะหากดูสถิติและตัวเลขการจ่ายเงินสนับสนุนให้กับสมาคมในช่วงปีที่ผ่านมา มีไม่ต่ำกว่าระดับ 300 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวก็ได้ถูกใช้ไปเพื่อพัฒนาระบบตั้งแต่ระดับเยาวชน ไปถึงระดับอาชีพ ส่วนปี 2566 ก็มีที่จ่ายไปแล้วเกือบ 90 ล้านบาท เพราะฉะนั้นรัฐบาล และกกท.ก็พยายามที่จะทำงานและสนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ไม่ว่าใครจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งนายกสมาคม ซึ่งก็อยากจะให้เข้าใจในประเด็นนี้อย่างตรงกัน ไม่ใช่เข้าใจว่าพอชนะแล้ว รัฐบาลจะแค่เชิญมาถ่ายรูป ซึ่งก็อาจจะเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ตรงกัน และกกท.ก็ยินดีและพร้อมจะคุยกับสมาคมกีฬาฟุตบอล เพื่อทำงานร่วมกัน เพราะผมเชื่อว่าในการทำงาน หากสมาคมและรัฐบาลเดินกันไปคนละทาง จะยิ่งมีปัญหาแน่นอน”

ดร.ก้องศักด ยังเผยอีกว่า กกท.ได้ทำการตรวจสอบ หลังจากบอร์ดกกท.มีประเด็นในเรื่องนี้ และอยากให้กกท.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าใครกระทำผิด ใครกระทำไม่เหมาะสมบ้าง เช่น ผู้ที่กระทำผิดและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทโดยตรง และถูกลงโทษ อาจจะไม่ได้รับเงินรางวัล ซึ่งเรื่องนี้เราเองก็ต้องการการชี้แจงที่ชัดเจน ว่ามีใครบ้าง และโทษแต่ละคนเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็จะพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และดูในภาพรวมว่าผิดกฎกติกาอะไรไหม ซึ่งก็ไม่ได้ติดขัดในเรื่องของเงินรางวัล หรือระบบการเบิกจ่ายแต่อย่างใด

“หลังจากนี้ กกท.จะเร่งทำเรื่องสอบถามไปยังสมาคมกีฬาฟุตบอล เพื่อให้ทำเรื่องชี้แจ้งกลับมาโดยเร็วที่สุด เพราะเราเองก็อยากจะมอบเงินรางวัลดังกล่าว และคำนึงถึงนักกีฬา เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนกรณีนี้ก็อาจจะขอให้เป็นกรณีศึกษา ซึ่งในครั้งต่อๆไปก็คงต้องมีกฏ กติกา ในการเป็นตัวแทนทีมชาติร่วมกันว่า หากใครที่เป็นตัวแทนแล้ว ไปสร้างความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับประเทศชาติและภาพรวมของวงการกีฬาไทย ก็ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน”


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport