ในที่สุดไทย ก็สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ อาเซียน คัพ 2022 ได้สำเร็จ แม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ผลงานการเปิดบ้านถล่มมาเลเซีย 3-0 ก็ทำให้ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] เสียงเชียร์คือพลัง
ตั้งแต่เกมแรกที่ได้เล่นในบ้าน ซึ่งพบกับฟิลิปปินส์ ยังไม่มีแมตช์ใดที่แฟนฟุตบอลชาวไทย เข้ามาเป็นกำลังใจให้ทัพช้างศึกแบบเต็มความจุเลยสักนัด
เกมที่มีผู้ชมมากที่สุดคือนัดชนะกัมพูชา 3-1 ด้วยจำนวน 8,415 คน ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสนามกีฬาธรรมศาสตร์-รังสิต เลยด้วยซ้ำ
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เป็นการแข่งขันในรอบแรก เลยทำให้แฟนๆ ยังไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก
แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า 'ความศรัทธา' ของผู้คนต่อฟุตบอลไทย เริ่มถดถอยลง กับการบริหารจัดการที่ถูกมองไปในทางลบ จนผลงานของทีมชาติทุกรุ่นตกต่ำลงอย่างชัดเจน
เมื่อหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน มันจึงทำให้แฟนๆ เริ่มเหนื่อยหน่ายและท้อแท้พอสมควร
แต่ในสถานการณ์ที่คับขัน กับผลการแข่งขันที่เป็นรองมาเลเซีย จากความพ่ายแพ้ในนัดแรก ทำให้กองเชียร์ต่างแห่แหนเข้ามาเป็นกำลังใจให้กับนักเตะแบบเต็มความจุ 25,000 ที่นั่ง
การที่แฟนๆ เข้ามาเป็นกำลังใจกันแบบนี้ ส่งผลให้เห็นทันทีว่าขุนพลช้างศึกเล่นด้วยความมุ่งมั่นและกระหายต่อชัยชนะเอามากๆ
เสียงเชียร์ของผู้เล่นคนที่ 12 ทั้งสี่ฟากฝั่งอัฒจันทร์คือ 'พลังแฝง' อย่างแท้จริง
[ 2 ] ธีราทร กับการครอสที่แม่นยำ
ธีราทร บุญมาทัน ยังได้ออกสตาร์ตในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ในระดับสโมสรที่เขาเล่นกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาตลอดในระยะหลัง
แน่นอนว่า 'คลาส' ของแชมป์ เจลีก 2019 นั้นทำให้เขายังโดดเด่น แม้จะไม่ใช่บทบาทที่คุ้นตา แต่ผลงานในการเล่นกองกลางของนักเตะวัย 32 ปี นั้นจัดว่าไฉไลไม่แพ้ใคร
ด้วยผลงานในลีกที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า 'ผ่านฉลุย' ทำให้ส่งต่อมายังทีมชาติที่ ธีราทร ก็ยังรับบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางเช่นเคย และก็ยังทำได้ตามมาตรฐานของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ซึ่งต่างก็รู้ว่าถ้าปล่อยให้ผู้เล่นหมายเลข 3 ของไทย ได้บอลบ่อยๆ นั้นไม่ส่งผลดีแน่
ในเกมบุกเสมออินโดนีเซีย 1-1 และไปแพ้มาเลเซีย 0-1 ทั้งสองนัดนั้น ธีราทร แทบไม่มีโอกาสได้เล่นอย่างถนัดถนี่เลย
รวมถึงเกมกับมาเลเซีย ในเลกที่สองก็เช่นกัน ที่ช่วงแรกเขาก็ยังไม่ได้โชว์พิษสงของตัวเองเท่าไหร่ กระทั่งถูกถ่างออกไปยืนฟากซ้ายนั่นแหละ ที่ทำให้บอลจากด้านข้างของไทย อันตรายขึ้นทันตา
ก่อนจะเป็นที่มาของประตู 1-0 ซึ่งก็เป็น ธีราทร นี่แหละที่ครอสไปให้ ธีรศิลป์ แดงดา โหม่งให้ทัพช้างศึกขึ้นนำ และถือเป็นการปลดล็อกความกดดันนั่นเอง (เป็นแอสซิสต์ที่ 4 ของเจ้าตัในทัวร์นาเมานต์)
ดังนั้นในเกมนัดชิงชนะเลิศที่จะต้องพบเวียดนาม - อเล็กซานเดร โพลกิ้ง คงต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่าจะใช้ประโยชน์จากกองหลังชาวนนทบุรี คนนี้ด้วยตำแหน่งไหนดีที่สุด
เพราะว่าถ้าให้ ธีราทร ยืนฟูลแบ็กตามเดิม ไทย ก็จะมีเกมรับและรุกริมเส้นที่ไร้เทียมทาน แถมยังอันตรายจากการครอสบอลจากด้านข้างอีกต่างหาก
[ 3 ] บดินทร์ - เอกนิษฐ์ ลบคำวิจารณ์
บดินทร์ ผาลา และ เอกนิษฐ์ ปัญญา คือ 2 นักเตะที่ถูกวิพากษ์-วิจารณ์อยู่พอสมควร โทษฐานที่ผลงานไม่ปังนัก แต่ก็ได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่า อเล็กซานเดร โพลกิ้ง จะวางระบบ 4-4-2 หรือ 4-3-3 ทั้งสองคนจะได้ออกสตาร์ตตัวจริง ซึ่งก็เป็นมาตั้งแต่เกมแรกที่ถล่มบรูไน มาจนถึงนัดล่าสุดที่เอาชนะมาเลเซีย
6 นัด ติดต่อกันที่ริมเส้นช้างศึกเป็น บดินทร์ - เอกนิษฐ์
อย่างไรก็ตาม ผลงานของทั้งคู่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก - บดินทร์ อาจจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่โดยรวมถือว่ายังดูเก้ๆ กังๆ ไปไม่สุดยังไงชอบกล
ขณะที่ เอกนิษฐ์ ดูจะหนักกว่า เพราะโอกาสมีให้เห็นทุกเกม แต่กลับยิงนกตกปลาอย่างเหลือเชื่อ จนทำให้คิดว่าความมั่นใจของนักเตะชาวเชียงราย น่าจะหดหายไปเพียบทีเดียว
ทว่า โพลกิ้ง ก็ยังเชื่อมั่นในสองผู้เล่นริมเส้นจาก การท่าเรือ เอฟซี และ เมืองทอง ยูไนเต็ด
ผลของความเชื่อมั่นมาส่งผลอย่างชัดเจนในเกมถล่มมาเลเซีย 3-0 ที่ทั้งคู่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม
บดินทร์ มีชื่อบนสกอร์บอร์ดอีกครั้ง และก็มาจากการแอสซิสต์ของ เอกนิษฐ์ นั่นแหละ
ส่วน เอกนิษฐ์ จะเด่นหน่อย เพราะนอกจากจะอยู่ครอบ 90 นาที เขายังมีส่วนในประตูที่ 3 ของไทย อีกด้วย
หากทั้งสองคนยังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นในระดับนี้เอาไว้ได้ รับประกันเลยว่าแนวรับเวียดนาม เตรียมปวดกบาลได้เลย
[ 4 ] โพลกิ้ง แก้เกมแจ๋ว
อเล็กซานเดร โพลกิ้ง คือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ อาเซียน คัพ 2022 อย่าแท้จริง
เขาเริ่มต้นด้วยการกล้าที่จะเปลี่ยนผู้รักษาประตูที่เฝ้าเสามาตั้งแต่นัดแรกอย่าง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก มาเป็น กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล ซึ่งถือว่าเสี่ยงไม่น้อย เนื่องจากนี่คือเกมที่มีความหมายมากๆ แต่กลับเลือกใช้จอมหนึบที่ยังไม่ได้สัมผัสเกมสักวินาทีในทัวร์นาเมนต์
นั่นคือจุดแรกที่กุนซือเชื้อสายบราซิล-เยอรมัน ตัดสินใจได้ถูกต้อง
จุดต่อมาเขาแสดงความตะลึงอีกครั้งด้วยการถอด ธีรศิลป์ แดงดา แล้วส่ง อดิศักดิ์ ไกรษร ลงมาเล่นแทนตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลัง
แฟนๆ คงจะงุนงงกันทั้งประเทศ ว่าเหตุใดเทรนเนอร์วัย 47 ปี จึงตัดสินใจเช่นนั้น เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าศูนย์หน้า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็ยังเล่นได้ และก็เพิ่งจะโหม่งทำประตู 1-0 อีกต่างหาก
ผลของการเปลี่ยนตัวครั้งนี้คือ อดิศักดิ์ ซึ่งเป็นหัวหอกที่มีความแข็งแรง ลงมาปะทะกับบรรดากองหลังมาเลเซีย ได้อย่างดุดัน ก่อนที่จะยิงประตูที่ 3 ได้สำเร็จ
การที่ โพลกิ้ง ถอด ธีรศิลป์ ออก น่าจะมาจากการที่ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ อาเซียน คัพ นั้นถูกแนวรับเสือเหลืองแห่งมาลายันอัดซะน่วมแล้ว บวกกับอายุ 34 ปี ที่ต้องใช้งานอย่างถูกวิธี
ดังนั้นการให้อดีตดาวยิง อัลเมเรีย ไปนั่งพัก เพื่อเก็บร่างกายให้พร้อมสำหรับเกมต่อไปในอนาคต น่าจะเป็นสิ่งที่เฮดโค้ชทีมชาติไทย คิดอยู่
ส่วนจุดที่สามคือการเอา วีระเทพ ป้อมพันธุ์ ลงมายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟอีกคนในนาทีที่ 69
เวลานั้นสกอร์ของไทย นำอยู่ 2-0 ซึ่งยังไม่ชัวร์ว่าจะผ่านเข้ารอบได้ เพราะถ้าถูกมาเลเซีย ยิงคืนเป็น 1-2 งานหยาบแน่นอน
แม้ว่า วีระเทพ จะไม่ใช่กองหลังอาชีพ แต่จุดเด่นของเขาคือเรื่องของการอ่านเกมและมีเป็นนักเตะที่ออกบอลได้เนียนตา
ประตูที่ 3 ของไทย ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเขานี่แหละ ที่ดักบอลได้จากแดนตัวเอง ก่อนจะจ่ายให้เพื่อนไปทำเกมต่อ
3 ช็อตนี้คือสิ่งที่ โพลกิ้ง พิสูจน์ให้เห็นถึงความเก่งกาจในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งกุนซือที่ดี ควรจะมีสิ่งนี้นี่แหละ เพื่อที่จะได้นำทีมไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ทว่างานของเขายังเหลืออยู่อีก 2 นัด และการวัดกึ๋นกับ พัก ฮัง-ซอ ของเวียดนาม ช่างเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเสียจริงๆ