มาเลเซีย จัดทัพเต็มส่ง ซาฟาวี ราซิด แข้งป้ายแดงราชบุรีฯ ลงบู๊แถมมี เซร์คิโอ อเกวโร่ และ ลี ทัค พร้อมเป็นทีเด็ดสยบทีมเยือน ขณะที่ฝั่งไทยได้นักเตะฟูลทีม "สรรวัชญ์" พ้นโทษแบนแต่ยังสำรอง โดย "มาโน่" เตรียมขนขุมกำลังชุดเก่งลงสนาม นำโดย "กัปตันอุ้ม" ประจำการแดนกลางเคียงข้าง สารัช อยู่เย็น โดยมี ธีรศิลป์ แดงดา ผู้นำดาวซัลโวที่ซัดไปแล้ว 5 ลูกลงจับคู่ อดิศักดิ์ ไกรษร ล่าตาข่าย สถิติชี้ชัดไทยไม่ชนะมาเลเซีย 8 ปีเต็ม หนสุดท้ายต้องย้อนไปปี 2014 แถมครั้งล่าสุดที่ดวลกันในคิงส์คัพเดือน ก.ย.65 ที่เชียงใหม่ แข้งไทยได้แค่เจ๊า 1-1 ก่อนดวลจุดโทษพ่ายเสือเหลือง โดยเกมคู่นี้จะเตะ 1 ทุ่มครึ่งที่สังเวียนแข้งบูกิตจาลิล ยิงสดช่อง MCOT HD กับช่อง T-Sport 7
การแข่งขันฟุตบอลเอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริก คัพ 2022 ประจำวันเสาร์ที่ 7 ม.ค.66 ที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิตจาลิล เวลาไทย 19.30 น. เป็นเกมรอบรองชนะเลิศ นัดแรก คู่ระหว่าง ทีมชาติมาเลเซีย ที่ผ่านเข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม บี เปิดบ้านรับมือ ทีมชาติไทย ที่ผ่านเข้ารอบมาในฐานะอันดับ 1 กลุ่ม เอ ถ่ายทอดสดทางช่อง MCOT HD หมายเลข 30 และช่อง T-Sport 7
ความพร้อมของเจ้าถิ่นมาเลเซีย ที่มี "คิม พัน กอน" คุมทัพ ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะ 3 นัด และแพ้ 1 นัด เกมนี้ได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลตัวเองในรังบูกิตจาลิล ที่จะมีคยเข้าสนามเต็มความจุ 59,000 ที่นั่งจจากความจุเต็ม 87,411 ที่นั่งแน่นอน หลังจำหน่ายตั๋วหมด แม้จะถูกตัดออกไปถึง 21,000 ที่นั่งเพื่อใช้จัดแสดงคอนเสิร์ต "เจย์ โชว์" ก็ตาม
โดยเกมนี้เฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้ ขาดเพียงรายเดียวคือ อาซาม อัซมี่ แบ็กขวาที่โดนโทษแบนอยู่ นอกนั้นพร้อมจัดชุดใหญ่เต็มอัตราศึกในระบบที่ถนัดที่สุดอย่าง 4-2-3-1 นำโดย ซาฟาวี ราซิด ดาวเตะป้ายแดงราชบุรี เอฟซี รวมถึง 2 นักเตะดาวซัลโวของทีมที่ยิงไปแล้วคนละ 3 ลูกทั้ง สจ๊วร์ต วิลกิ้น กับ ไฟซอล ฮาลิม พร้อมลงทุกราย นอกจากนี้ยังมี เซร์คิโอ อเกวโร่ รวมถึง ลี ทัค ที่พร้อมเป็นตัวทีเด็ดมีส่วนร่วมในเกมนี้เช่นกัน
ฟากทีมเยือนทัพ "ช้างศึก" ที่มี "มาโน่ โพลกิ้ง" คุมทัพ โดยมี "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เป็นผู้จัดการทีม ผลงานในรอบแบ่งกลุ่มเอาชนะ 3 เสมอ 1 โดยยังไม่แพ้ใคร เกมนี้จะได้ สรรวัชญ์ เดชมิตร พ้นโทษแบนกลับมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ ก็หายเจ็บกลับมาพร้อมเป็นตัวเลือกเช่นกัน
ในเกมนี้ถือเป็นแมตช์สำคัญ "โค้ชมาโน่" จะใช้ระบบที่ถนัด 4-4-2 และจัดชุดใหญ่ที่เล่นด้วยกันมากที่สุดลงสนามแน่นอน ผู้รักษาประตู กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก พร้อมลงเฝ้าเสาต่อเนื่อง ส่วนแผงแบ็กโฟว์ไม่เปลี่ยนทั้งคู่เซ็นเตอร์เป็น พรรษา เหมวิบูลย์ กับ กฤษดา กาแมน แบ็กสองฝั่งใช้ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ ฝั่งขวา ศศลักษณ์ ไหประโคน ยืนฝั่งซ้าย
ขณะที่แผนกองกลาง "กัปตันอุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน ยังพร้อมยืนกับ สารัช อยู่เย็น โดยมี บดินทร์ ผาลา พร้อมขนาบข้างฝั่งปีกซ้าย ส่วนฝั่งขวา เอกนิษฐ์ ปัญญา พร้อมลงเช่นกัน และคู่กองหน้า ธีรศิลป์ แดงดา ดาวซัลโวในครั้งนี้ที่ยิงไปแล้ว 5 ลูก ยังประจำการยืนจับคู่กับ อดิศักดิ์ ไกรษร ลงล่าตาข่ายเช่นเดิม
สำหรับสถิติค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเพราะ 8 ปีหลังสุด ทีมชาติไทย ไม่เคยเอาชนะ มาเลเซีย ได้เลยแม้แต่เกมเดียว โดยหนสุดท้ายที่ "ช้างศึก" ทุบ "เสือเหลือง" ต้องย้อนไปในชิงแชมป์อาเซียน 2014 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก วันที่ 17 ธ.ค.57 โดยเกมนั้น ไทย ที่มี "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุมทัพ เปิดบ้านชนะ 2-0 จากการยิงของ ชาริล ชัปปุยส์ และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
หลังจากนั้นเป็นต้นมาโคจรมาพบกันอีก 6 ครั้งในรอบ 8 ปี ไทยไม่สามารถเอาชนะ มาเลเซีย ได้เลย แบ่งเป็น เสมอ 3 นัด, แพ้ 3 นัด โดยครั้งล่าสุดที่เจอกันคือ ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 22 ก.ย.65 ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ผลปรากฎว่า ไทย ที่มี "มาโน่ โพลกิ้ง" คุมทัพ เสมอ 1-1 ก่อนดวลจุดโทษ มาเลเซีย ชนะสกอร์รวม 6-4