หากพูดถึงนักฟุตบอลระดับตำนานของวงการลูกหนังแดนสยาม ที่มีสไตล์การเล่นอันดุดันเข้าบอลถึงลูกถึงคนแล้วละก็ชื่อนักฟุตบอลเจ้าของฉายา "กัตตูโซ่เมืองไทย" อย่าง อิศวะ สิงห์ทอง อดีตกองกลางจอมฮาร์ดแมนของทีมชาติไทย ยุคเดียวกับ ดัสกร ทองเหลา และ สุธี สุขสมกิจ คงจะเป็นชื่อแรกๆที่แฟนบอลรุ่นเดอะจะคิดขึ้นมาในสมอง
โดยหลังแขวนสตั๊ดมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนผู้นี้หันมามุ่งหน้าเปิดอะคาเดมี่สอนทักษะลูกหนังเยาวชนในชื่อ สิงห์ทอง อะคาเดมี่ นอกจากจะผลิตแข้งเยาวชนขึ้นมาประดับวงการฟุตบอลไทยแล้ว เจ้าตัวจะปลุกปั้นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่าง "น้องฮีโร่ " องศา สิงห์ทอง ให้ขึ้นมาเป็นทายาทนักเตะทีมชาติไทยสานต่อรอยเท้าของคุณพ่อที่เคยสร้างเอาไว้
ย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีก่อน สมัยที่ อิศวะ สิงห์ทอง เดินทางไปโกยเงินดอง เล่นอยู่กับ บินห์ ดินห์ ที่วีลีก เวียดนาม เขาได้ของขวัญสุดพิเศษหลังภรรยาให้กำเนิดลูกชาย 1 คน ในตระกูล "สิงห์ทอง" มีชื่อว่า "ฮีโร่" องศา สิงห์ทอง และพอเข้าสู่วัย 5-6 ขวบของ "น้องฮีโร่" ก็เป็นช่วงเวลาที่ อิศวะ เดินทางกลับมาจากเวียดนามเพื่อมาเล่นฟุตบอลที่ประเทศไทย
ทีมงานฟุตบอลสยามได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหนูวัย 17 ปี ถึงเรื่องราวของเขากับการสานต่อชีวิตลูกหนังจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก โดย "น้องฮีโร่" องศา สิงห์ทอง เล่าให้เราฟังว่า "ผมเริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 6 ขวบ ตอนนั้น คุณแม่ก็เริ่มพาไปเตะฟุตบอลเล่นที่สโมสรทหารอากาศ ที่มี "โค้ชบอย” มนตรี แพรพันธ์ ดูแลอยู่ ซึ่งพ่อก็ได้ฝึกเบสิคให้ด้วยนิดหน่อย และก็เตะฟุตบอลเล่นกันเฉยๆ"
"ก่อนที่ผมจะเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สายไหม แล้วก็ได้ไปซ้อมฟุตบอลกับทีมเยาวชนทหารอากาศ ช่วงอายุ 10-11 ขวบ ก่อนจะเข้ามาคัดที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีตอนอายุ 13 ปี โดยเริ่มต้นจากการเข้ามาร่วมซ้อมกับทีมจนมีชื่อได้เข้ามาเล่นร่วมกับทีม"
หลังจากที่เจ้าตัวเข้ามาศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ก็สามารถลงเล่นช่วยทีมในรายการต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้แชมป์มาหลายรายการ ทั้ง แชมป์ยูธลีกรุ่นยู-13 , แชมป์กรมพลรุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี และแชมป์ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นรายการที่ภูมิใจที่สุดหลังพาทีมคว้ามาได้ คือ แชมป์กรมพล รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี
ปีกซ้ายของทัพเจ้าสัวน้อยที่มีความเร็ว คล่องแคล่วว่องไว เป็นจุดเด่นเมื่อลงไปเล่นในสนามยังบอกอีกด้วยว่า "เคยมีชื่อไปร่วมซ้อมกับทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปีครับ แต่ก็ยังไม่เคยมีชื่อติดทีมไปลงเล่นในรายการใดเลย แต่ก็จะพยายามให้มีชื่อไปแข่งในรายการหน้าให้ได้ครับ"
"เรื่องความฝันของผมที่ตั้งใจไว้ ก็อยากเดินตามเส้นทางของพ่อครับ อยากลงเล่นฟุตบอลอาชีพของไทยครับ สโมสรที่ชอบในไทยลีก คือ ชลบุรี เอฟซีครับ และก็รอโอกาสออกไปเล่นฟุตบอลที่ต่างประเทศแบบพ่อด้วยครับ”
ด้านอดีตแข้ง ทอ. ผู้เป็นพ่อกล่าวถึงลูกชายว่า "ผมก็สอนเบสิคทักษะตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนทหารอากาศ ซึ่งผมก็ขอขอบคุณทางต้นสังกัดเยาวชนทหารอากาศ โค้ชบอย มนตรี แพรพันธ์ ที่ปลุกปั้นน้องฮีโร่ ฮงศามาแล้วก็ส่งให้สู่รั้วอัสสัมชัญธนบุรี ผมสอนเรื่องวินัยด้วยให้อยู่ในเส้นทางต้องต่อสู้ อยู่กับคนเก่งๆมากๆ ยิ่งต้องพัฒนาตัวเองให้มากในทุกๆวินาทีที่ได้รับโอกาสในการลงแข่งขัน ซึ่งอย่างแรกเลยคือเรื่องวินัย การดูแลตัวเอง เรื่อความมุ่งมั่น ให้ฟุตบอลนำทางเขาไปเลยอ ค่อยๆไป ไม่ใช่ว่าเป็นลูกชาย อิศวะ จะต้องได้รับทุกอย่างในเส้นทางซึ่งไม่ใช่ครับ ผมอยากจะให้เขาลุยด้วยตัวเอง ผมเองเป็นไกด์ไลน์ ผมบอกตรงนี้เลยว่าน้องเขามีของ เพียงแต่ว่าต้องรอโอกาส รอจังหวะ วันหนึ่งถ้าทำหน้าที่ได้ดี ก็ยินดีกับเขาด้วยและต้องให้ฟุตบอลนำทางครับ"
ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษา ประจำปี 2565 รุ่น 18 ปี ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รอบชิงชนะเลิศ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
น้ององศา ก็ลงมายิงให้ให้ต้นสังกัดอย่าง รร.อัสสัมชัญธนบุรี เอาชนะ รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ไป 2-0 พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครอง นี้ก็คือส่วนหนึ่งของก้าวแรกของลูกชาย อิศวะ สิงห์ทอง
สุดท้ายทายาทกองกลางจอมฮาร์ดแมนที่มีสไตล์การเล่นไม่ได้คล้ายกับพ่อเลย ด้วยความที่พ่อจะเล่นในสไตล์ดุดัน แต่ในส่วนของลูกจะเล่นในสไตล์ ครองบอล เลี้ยงกินตัว และมีความคล่องแคล่วว่องไว และเมื่อถูกถามถึงเรื่องความกดดันที่เจ้าตัวเป็นลูกชายของอดีตทีมชาติไทย
ฮีโร่บอกว่า "กดดันนิดหน่อยครับ ที่เป็นลูกอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย แต่จะคอยเตือนตัวเองว่าไม่ใช่พ่อ และทิ้งเรื่องนอกสนามลงไปเล่นให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ลดความกดดันตรงนั้นไป"
ด้วยวัยที่ยังมีเส้นทางในสายลูกหนังอีกยาวไกล แต่การมีคุณพ่อที่คอยปลูกฝัง อบรมสั่งสอนอยู่เคียงข้างมาโดยตลอดแบบนี้ นักเตะรายนี้ก็อาจจะลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นอีกหนึ่งคนของทายาทอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย และสานฝันเดินตามเส้นทางของคุณพ่อได้ในอนาคต
เรื่อง RK14 & เจฟฟี่