แข้งตาบอดไทยถล่มอินเดีย 3-0 รอดวลญี่ปุ่นแมตช์ชิงทองแดง

การแข่งขันฟุตบอลคนตาบอด ในศึกเอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ที่ ก่งซู่ คาแนล สปอร์ตส์ พาร์ก สเตเดี้ยม เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ 27 ต.ค.66 เป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด ทีมชาติไทย อันดับ 5 ของโลก ลงสนามนัดสุดท้าย พบกับ อินเดีย โดย 4 นัดแรก ไทย ชนะ มาเลเซีย 3-0, แพ้ อิหร่าน 0-2, เสมอ ญี่ปุ่น 1-1 และแพ้ จีน 0-1 มี 4 คะแนน ขณะที่ อินเดีย รั้งอันดับ 5 ชนะ 1 แพ้ 4 นัด มีแค่ 3 แต้ม 

เกมนี้ เจอร์มัน อัลแบร์โต มาร์เกวซ กุนซือชาวอาร์เจนตินาของทีมชาติไทย ปรับทัพจากเกมพ่ายจีน เล็กน้อย ส่ง กิตติกร บัวดี ออกสตาร์ทตัวจริง ในไลน์อัพ 5 คนแรก ร่วมกับ พรชัย กสิกรอุดาลไพศาล (ผู้รักษาประตู), ประครอง บัวใหญ่, ปัญญาวุฒิ คุพันธ์ และ สมชาย มากอง ส่วนแข้งจากแดนโรตี มี ประทีป พาเทล และ คิงตัน มารัค เป็นตัวหลัก

ตลอดเกมแข้งตาบอดทีมชาติไทยโชว์ฟอร์มที่เหนือกว่าไล่ถล่ม อินเดีย ไปยับเยิน 3-0 โดยได้ประตูจาก กิตติกร บัวดี นาทีที่ 9 และ ปัญญาวุฒิ คุพันธ์ กัปตันทีมที่ยิงคนเดียว 2 ลูก นาทีที่ 10 และ 18 ทำให้ทีมชาติไทย เก็บเพิ่มเป็น 7 คะแนน จาก 5 นัด รั้งอันดับ 4 ของตารางผ่านเข้าไปรอล้างตากับนักเตะซามูไร ญี่ปุ่น บดเอาชนะ มาเลเซีย ไปได้ 2-0 ในรอบชิงเหรียญทองแดง หลังก่อนหน้านี้เจอกันในรอบแรก ไทย เสมอ ญี่ปุ่น 1-1 

หลังจบเกม ประจักษ์ ฤทธิ์นุช ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย กล่าวว่า เกมนี้ทีมครองบอลได้ดีและเล่นได้ตามแผนที่วางเอาไว้ ซึ่งหลังจากที่นำห่าง ก็ตัดสินใจเก็บตัวแข้งเก๋าเพื่อให้ได้พัก เตรียมความสดลงเตะในรอบชิงอันดับ 3  โดยส่งน้องใหม่อย่าง รณรต ภู่นา, ศตายุ วันนิตย์ และ พิชิตชัย สมบูรณ์ศักดิ์ ได้ลงเล่นเก็บประสบการณ์ 

"ส่วนเกมนัดชิงเหรียญทองแดงที่จะเจอกับ ญี่ปุ่น ถือว่าค่อนข้างหนัก โค้ชญี่ปุ่นมานั่งดูฟอร์มการเล่นของไทยทุกวัน ตอนนี้นักกีฬาทุกคนมีขวัญใจที่ดี แถมกำลังมั่นใจ หลังเอาชนะอินเดียมาได้ ในเกมชิงเหรียญทองแดง จะสู้เต็มที่เพื่อคว้าเหรียญประวัติศาสตร์ในการแข่งขันเอเชียนพาราเกมส์มาครองให้ได้เป็นครั้งแรก"