"บิ๊กเอ" ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย นำทีมเปิดตัวยโยบายด้านกีฬาต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดนโยบายด้านฟุตบอลอาชีพ เน้นพัฒนาเยาวชนไทย สร้างรากฐานด้วยการจัดฟุตบอลยูธลีก ตั้งแต่รุ่น 13 ปี หวังสร้างรากฐานให้วงการฟุตบอลไทย และเป็นบันไดในการ ผลิตแข้งไทยลุยค้าแข้งอาชีพที่ต่างประเทศ ยันเน้นสร้างรายได้ในทุกมิติให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ระบุโครงการนี้ไม่ทับซ้อนกับโครงการของหน่วยงานอื่นๆที่มีอยู่แล้ว และพร้อมเดินหน้าพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเริ่มทำทันที่ภายใน 100 วัน หากได้เป็นรัฐบาล
ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย และนายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย พร้อมคณะที่ปรึกษา นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา, นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวนโยบายด้านฟุตบอลอาชีพ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 7 เม.ย.66
ผศ.พิมล เผยว่า ฟุตบอลไทยถือเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้นจะต้องได้รับการดูแลโดยใกล้ชิด และต้องมีนโยบายเฉพาะที่เป็นของฟุตบอลไทย ซึ่งแรงบันดาลใจของโครงการนี้มาจากโครงการ "สตรีท ซอคเกอร์" เมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเป็นโครงการของพรรคเพื่อไทย คัดเลือกเยาวชนหัวกระทิ ไปฝึกฝีเท้า เช่น ฟูแล่ม
“เป้าหมายของโครงการนี้คือการยกระดับมาตรฐานกีฬาฟุตบอลไทย ให้เทียบกับระดับนานาชาติ สร้างนักกีฬาก้าวไปสู่นักฟุตบอลอาชีพระดับโลก โดยจะต้องเป็นการพัฒนาระบบนิเวศของวงการฟุตบอล (Ecosystem) ให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับทุกภาคส่วนของวงการกีฬา ทั้ง นักฟุตบอล, ผู้ฝึกสอน, ผู้ตัดสิน และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา”
ผศ.พิมล เผยต่อไปอีกว่า ในส่วนของแนวทางการปฏิบัตินั้น ทางพรรคเพื่อไทย จะมอบหมายให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เข้าไปจัดลีกเยาวชนและยุวชวนทั่วประเทศ ตั้งแต่รุ่นอายุ 13, 15, 17 และ 19 ปี ซึ่งจะทำให้มีทีมเข้าร่วมราวๆ 400 ทีม และมีนักกีฬาอย่างน้อย 10,000 คน อยู่ในระบบของฟุตบอลไทย จากนั้นคัดนักกีฬาที่มีศักยภาพสูง เข้าไปอยู่ใน Talent Center เพื่อส่งเสริมให้ได้ไปฝึกซ้อมยังต่างประเทศ เช่นปัจจุบัน กกท. ได้จับมือกับบุนเดสลีกา เยอรมนี แล้ว และอนาคตก็อาจจะส่งเสริมเพิ่มทั้งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือเจลีก ญี่ปุ่น เข้ามาด้วย เพื่อสร้างช่องทางให้นักกีฬาได้ไปฝึกซ้อมยังต่างประเทศที่มีคุณภาพต่อไป นอกจากนี้จะให้เครือข่ายของกกท.จัดเก็บข้อมูลนักเตะเพื่อเป็นฐานข้อมูลของนักเตะไทยทั้งในไทยและต่างประเทศเอาไว้ รวมถึงผลักดันโครงการพัฒนาผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสิน ให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติต่อไป
"บิ๊กเอ" กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องของงบประมาณที่จะใช้สนับสนุนนั้น จะเป็นการกำหนดนโยบายจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ปีละ 200 ล้านบาท จากนั้นคือการผลักดันให้มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลในระดับเยาวชนคู่สำคัญผ่านทางช่องทีวีของรัฐ รวมไปถึงช่องทางอื่นๆ ทั้งยูทูป หรือเฟซบุ๊ก เพื่อสร้างช่องทางให้ภาคเอกชน เข้ามาสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนอีกราวๆ 100 ล้านบาทต่อปี
ผศ.พิมล ยืนยันการทำโครงการนี้จะไม่ทับซ้อนกับโครงการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ดำเนินอยู่ "เราทราบมาว่าก่อนหน้านี้ กกท. เป็นผู้ดูแลเรื่องฟุตบอลลีกเยาวชน จากนั้นทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็ขอกลับไปทำเองแต่มาเจอสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ชะงักไป และการเข้ามาครั้งนี้ไม่ได้จะมาทำแข่งกับสมาคมฟุตบอลฯ แต่จะมาช่วยเหลือสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ เพื่อจะเป็นการยกระดับฟุตบอลลีกต่อยอดไปสู่ระดับนานาชาติ สุดท้ายแล้วนักฟุตบอลที่สร้างขึ้นมาก็จะถูกส่งมอบต่อให้กับสมาคมฯ ได้ใช้งานต่อไปในระดับทีมชาตินั่นเอง"
"เราพร้อมจะสนับสนุนที่ตัวสมาคมฯ ไม่ว่าใครจะเป็นนายกสมาคมฯ อยู่ก็ตาม ซึ่งหลังจากที่ได้รับเลือกตั้งก็จะเข้าไปพบกับผู้บริหารสมาคมฯ เพื่อหารือเรื่องนี้ทันที" ประธานที่ปรึกษาด้านกีฬาพรรคเพื่อไทย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงเป้าหมายของแฟนบอลชาวไทย ที่อยากเห็นทีมชาติไทยไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายนั้น ผศ.พิมล กล่าวว่า ความฝันของคนไทยทุกคนคือได้เห็นทีมเล่นในฟุตบอลโลก ก็หวังว่าสิ่งที่ทำมันจะทำให้บรรลุไปถึงจุดนั้นได้ แต่ยังไม่อยากพูดถึงตรงนั้น เพราะเราต้องค่อยๆ ไต่ระดับ เริ่มจากการกลับมาเป็นเจ้าซีเกมส์ก่อน ทำอันดับโลกให้เป็นเบอร์ 1 อาเซียนก่อน ซึ่งโครงการนี้จะช่วยสร้างนักเตะสนับสนุนให้กับสมาคมฟุตบอลฯ ได้แน่นอน