โทษฐานที่ทีมชาติเกาหลีใต้ หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังของเอเชีย ประกาศแต่งตั้ง เจอร์เก้น คลินส์มันน์ กุนซือชาวเยอรมัน เป็นเฮดโค้ชคนใหม่ ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงคัดสรรสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ของทัพพลังโสมที่จะมีแต่ทิศบวกแน่นอน!!
1 ดาวยิงคนใหม่รอแจ้งเกิด
ด้วยความที่ คลินส์มันน์ เป็นอดีตหัวหอก แถมไม่ได้มีดีกรีธรรมดาเสียด้วย เพราะเขาเป็นเจ้าของสถิติ 47 ประตู จาก 108 นัด ให้กับทีมชาติเยอรมัน พร้อมกับยังเคยคว้าแชมป์ เวิร์ล คัพ 1990 มาประดับบารมีอีกต่างหาก
จากผลงานดังกล่าว เจ้าของฉายา 'ฉลามขาว' จึงจัดเป็นนักเตะระดับ 'ตำนาน' ศูนย์หน้าของโลกเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ นั้นอาจจะเป็นทีมหัวแถวของเอเชีย และปัจจุบันก็ถือว่าสามารถต่อกรกับชาติใหญ่ๆ ได้ดีกว่าแต่ก่อนอยู่มาก
แต่ข้อแตกต่างระหว่างพวกเขากับทีมชั้นนำของโลก คือ 'การจบสกอร์' ที่ทัพโสมขาวไม่เด็ดขาดเท่าไหร่นัก
ทีมชุดปัจจุบันจะมีเพียง ซน เฮือง-มิน เท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้หน่อยกับการเป็นความหวังในการทำประตู ทว่าที่เหลือ ล้วนแล้วแต่ยังขาดทั้งฝีเท้าและประสบการณ์
ดังนั้นการที่ได้ คลินส์มันน์ ซึ่งเป็นอดีตกองหน้าอาชีพมาเป็นเฮดโค้ช จึงมั่นใจได้เลยว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป เกาหลีใต้ จะมีดาวยิงหน้าใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวผลิตสกอร์เพื่อและลบข้อด้อยกว่าชาติอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้
2 เกมรุกดุดันขึ้น
เนื่องจาก คลินส์มันน์ เป็นอดีตกองหน้า ซึ่งพอผันตัวเองมาเป็นโค้ช สิ่งที่สะท้อนออกมาตอนทำทีมคือไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขามักจะเน้นเกมบุกเป็นหลัก
ทีมชาติเยอรมัน เขาคุมทัพอินทรีเหล็ก 34 นัด (กรกฎาคม 2004 - กรกฎาคม 2006) ยิงไป 81 ประตู
บาเยิร์น มิวนิค - 44 นัด (กรกฎาคม 2008 - เมษายน 2009) ยิงไป 96 ประตู
ทีมชาติสหรัฐอเมริกา - 98 นัด (กรกฎาคม 2011 - พฤศจิกายน 2016) ยิงไป 178 ประตู
จะเห็นได้ชัดเลยว่าทั้ง 3 ทีมที่ คลินส์มันน์ เคยคุมทัพนั้นมีค่าเฉลี่ยยิงประตูเกินกว่า 2 ลูก ต่อเกมทั้งหมด ซึ่งนั่นบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงแนวทางการทำทีมของเขาว่ามีเกมรุกเป็นที่ตั้ง
ดังนั้นทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งมักจะทำประตูคู่ต่อสู้ได้ยากลำบาก ก็กำลังจะได้รับการแก้ไขโดยเทรนเนอร์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางในเร็ววันนี้
3 ฟิตขึ้นอีกขั้น
ย้อนกลับไปในปี 2011 ที่ คลินส์มันน์ เข้ารับงานคุมทีมชาติสหรัฐอเมริกา - ห้วงเวลานั้นทัพพญาอินทรีมีผลงานไม่สู้ดีนัก แถมเว้นวรรคความสำเร็จในระดับทวีปมาถึง 4 ปี
เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน จึงเข้ามาจัดการอะไรต่อมิอะไรให้ไฉไลขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการนำ 'วิทยาศาสตร์การกีฬา' มาปรับใช้กับทีม
โภชนาการ, กายภาพวิทยา, สรีรวิทยา, จิตวิทยา, เทคโนโลยีต่างๆ รวมไปถึงการใช้ข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์ทั้งตัวเองและฝั่งตรงข้าม ถูกนำมาใช้พัฒนาทีมแบบจริงจัง
พอทุกอย่างเริ่มลงตัว คลินส์มันน์ ก็เดินงานของตนเองได้สะดวก และก็นำแชมป์ คอนคาเคฟ โกลด์ คัพ 2013 กลับสู่อเมริกา อีกครั้ง
จากนั้นในฟุตบอลโลก 2014 เขาก็ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการผ่านสู่รอบน็อก-เอาต์ได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่อยู่ 'กรุ๊ป ออฟ เดธ' ที่มีเยอรมัน, โปรตุเกส และกานา
แม้ว่าท้ายที่สุดจะไปได้ไกลเพียงรอบ 16 ทีม สุดท้าย แต่การแพ้เบลเยียม ที่อุดมไปด้วยแข้งระดับโลกอย่าง เอแด็น อาซาร์, แว็งซ็อ กอมปานี, เควิน เดอ บรอยน์ และ โรเมลู ลูกากู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก็ยังเป็นสิ่งที่แฟนๆ นึกถึงจนทุกวันนี้
คลินส์มันน์ ได้เผยว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้อเมริกา ผลงานดีใน เวิร์ล คัพ ฉบับบราซิลนั้นก็เพราะเรื่องของ 'วิทยาศาสตร์การกีฬา' นั่นเอง
ทีมชาติเกาหลีใต้ ขึ้นชื่อเรื่องวินัยและความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามาเสริม มันจึงมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาจะต้องฟิตมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
4 การตลาดง่ายขึ้น
เกาหลีใต้ มักจะใช้บริการโค้ชในประเทศมากกว่า เนื่องจากพวกเขามีความ 'ชาตินิยม' สูงลิ่ว แต่ก็มีบ้างในบางเวลาที่ใช้กุนซือจากต่างแดน
ในประวัติศาสตร์ 80 คน ก่อนหน้านี้ มีเพียง 7 ราย เท่านั้นที่เป็นเทรนเนอร์นำเข้า โดยแบ่งเป็นเนเธอร์แลนด์ส 4, โปรตุเกส 2 และเยอรมัน อีก 1
ทว่าทั้ง 7 คน ก่อนหน้านี้ มีเพียง กุส ฮิดดิ้ง และ ดิ๊ค อัดโวคาท เท่านั้นที่พอจะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับบนานาชาติ
กระทั่งการมาของ คลินส์มันน์ นี่แหละที่น่าจะทำให้เกาหลีใต้ น่าจับตามองขึ้นหลายเท่าตัว เพราะนอกจากฝีมือการทำทีมชาติเยอรมัน และสหรัฐอเมริกา ที่จัดว่า 'สอบผ่าน' ที่สำคัญคือชื่อเสียงของกุนซือคนนี้สามารถนำไปต่อยอดได้ในหลายๆ ด้าน
ด้วยความที่เป็นอดีตผู้เล่นระดับตำนานของโลก ทำให้แฟนฟุตบอลต่างอยากมาสัมผัสกับตัวจริงของดาวยิงผู้พาอินทรีเหล็กคว้าแชมป์ เวิร์ล คัพ 1990
ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น สมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้ ยังสามารถใช้ความนิยมในตัวของ คลินส์มันน์ แผ่กระจายออกไปโดยรอบเอเชีย ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับพวกเขาแบบไม่รู้ตัว